น้ำผึ้ง อ้วนไหม ? เป็นคำถามที่เจอบ่อยมากค่ะ จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าอะไรที่ไม่พอดีมักเกิดโทษค่ะ แม้ว่าน้ำผึ้งจะมีคุณประโยชน์ไม่น้อย ทั้งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย, ลดความเครียด, เพิ่มความชุ่มชื่น, ลดสิว และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น แต่สัดส่วนของน้ำผึ้งกว่า 80% เป็นน้ำตาลกลูโกสและฟรักโทส อีก 20% เป็นน้ำ แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และวิตามิน B, C จึงควรทานอย่างเหมาะสม หากทานตามใจปากแล้วล่ะก็ผลที่ตามมาก็ไม่พ้น ‘อ้วนขึ้น’ แน่นอนค่ะ
ใครที่ชื่นชอบการทานน้ำผึ้งไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องน้ำหนักและสุขภาพนะคะ เพราะวันนี้หมอมะปราง AMARA มาเสนอเคล็ดลับการทานน้ำผึ้งคู่กับเมนูต่าง ๆ ทั้งเครื่องดื่ม ของหวาน และอาหารหลัก รับรองว่าได้ทั้งความอร่อยและสุขภาพดีไปพร้อมกัน จะมีเมนูแบบไหน เคล็ดลับทานน้ำผึ้งไม่ให้อ้วนทำอย่างไร ตามไปชมพร้อมกันค่ะ!
เคล็ดลับที่ 1 เมนูเครื่องดื่มกับน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานที่มาจากธรรมชาติและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ เช่น วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ แทนที่จะใช้ความหวานจากน้ำตาลที่อาจมีผลเสียต่อสุขภาพ หมอแนะนำให้เติมน้ำผึ้งลงในเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบดีกว่าค่ะ ไม่เพียงแต่เพิ่มความหวานอร่อย แต่ยังทำให้เครื่องดื่มนั้น ๆ เต็มไปด้วยคุณค่าที่ดีต่อร่างกาย และที่สำคัญคือทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เติมความสดชื่นระหว่างวัน เมนูที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- น้ำผึ้งมะนาว : เมนูยอดฮิต แก้เจ็บคอ กระตุ้นระบบย่อยอาหาร
- น้ําผึ้งมะนาวโซดา : ดับกระหาย บรรเทาอาการท้องอืด ท้องผูก
- นมสดน้ำผึ้ง : ผ่อนคลายระบบประสาท ช่วยให้หลับสนิท
- โกโก้น้ำผึ้ง : ลดความเครียด เสริมสร้างหัวใจให้แข็งแรง
- น้ำผึ้งมะนาวอัญชัน : บำรุงสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ชาดอกคาโมมายล์ผสมน้ำผึ้ง : ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น
- สมูททีผักใบเขียวผสมน้ำผึ้ง : เพิ่มความหวานธรรมชาติให้กับสมูทที
คล็ดลับที่ 2 เมนูขนมหวานกับน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบยอดนิยมในการทำขนมหวานสายสุขภาพค่ะ อย่างที่หมอได้บอกไปตอนต้นของบทความถึงสรรพคุณของน้ำผึ้ง ที่มีวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งยังเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดึงไปใช้พลังงานได้เลย ต่างจากน้ำตาลทรายที่ผ่านกระบวนการแปรรูปจนแทบไม่เหลือสารอาหาร ทั้งยังเป็นโมเลกุลคู่ที่ต้องผ่านการย่อยก่อนนำไปใช้งาน หมอจึงสนับสนุนให้ทานของหวานคู่กับน้ำผึ้งจะดีต่อร่างกายมากกว่าค่ะ เมนูที่แนะนำ ได้แก่
- กล้วยอบน้ำผึ้ง : หวานอร่อย มีใยอาหารสูง
- โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง : ย่อยง่าย สร้างภูมิคุ้มกัน
- แพนเค้กราดน้ำผึ้ง : ลดความเสี่ยงโรคกรดไหลย้อน
- ไอศกรีมราดน้ำผึ้ง : รสชาติอร่อยกลมกล่อม ดับร้อน
เคล็ดลับที่ 3 เมนูของทานเล่นกับน้ำผึ้ง
นอกจากเมนูเครื่องดื่มกับขนมหวานแล้ว น้ำผึ้งสามารถเข้ากันได้ดีกับเมนูของทานเล่นค่ะ เป็นส่วนช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ น้ำผึ้ง สรรพคุณ มากมายและรสหวานกลมกล่อม ทดแทนน้ำตาลหรือนมข้นหวานได้ค่ะ ตัวอย่างเมนูของทานเล่นที่ทานคู่กับน้ำผึ้ง คือ
- ถั่วอบน้ำผึ้ง : เพิ่มรสชาติและความหอมมัน เคี้ยวเพลิน
- ผักผลไม้จิ้มน้ำผึ้ง : ช่วยลดอาการท้องผูก
- แซนวิชไก่หรือทูน่าราดน้ำผึ้ง : เพิ่มความอร่อยและกลิ่นหอม
- แครกเกอร์ราดน้ำผึ้ง : รสชาติกลมกล่อม หวานเค็ม
เคล็ดลับที่ 4 เมนูอาหารหลักกับน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งไม่ได้เป็นแค่ตัวเลือกดี ๆ สำหรับเครื่องดื่มและขนมหวานเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาปรุงรสในอาหารหลักได้ด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า, กลางวัน หรือเย็น แค่ลองปรุงรสด้วยน้ำผึ้งแทนที่จะเป็นน้ำตาลทราย อาจทำให้รสชาติของอาหารมีกลิ่นหอมและความหวานที่อร่อยยิ่งขึ้น หมอเองก็ชอบอาหารที่ใช้ส่วนผสมของน้ำผึ้งมากค่ะ ซึ่งเมนูที่หมอแนะนำ ได้แก่
- ไก่ย่างซอสน้ำผึ้ง : เพิ่มความหวานแทรกซึมในเนื้อไก่
- ซี่โครงหมูตุ๋นน้ำผึ้ง : เนื้อหมูนุ่ม ๆ รสหวาน
- ปลาแซลมอนอบน้ำผึ้ง : เนื้อปลาฉ่ำ หอมกลิ่นน้ำผึ้ง
- หมูผัดน้ำผึ้ง : ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว
- ไก่อบน้ำผึ้ง : น้ำผึ้งจะเคลือบหนังไก่ทำให้หวานอร่อย
- สลัดผักราดน้ำผึ้ง : เพิ่มความสดชื่นในการทานสลัด
เคล็ดลับที่ 5 กำหนดปริมาณการทานน้ำผึ้ง
ทุกคนคงได้คำตอบของคำถามที่ว่า น้ำผึ้ง อ้วนไหม ? กันไปแล้วใช่ไหมคะ คำตอบคือหากทานมากเกินพอดีจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลกลูโคสและฟรักโทสเกินควร ทางสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association – AHA) แนะนำปริมาณที่เหมาะสมต่อทานน้ำผึ้งในแต่ละวัน คือ
ผู้ชาย : ไม่เกิน 9 ช้อนชา (36 กรัม) ต่อวัน
ผู้หญิงและเด็ก : ไม่เกิน 6 ช้อนช้า (24 กรัม) ต่อวัน
หากบริโภคปริมาณน้ำผึ้งตามนี้จะทำให้เราสามารถเพลิดเพลินกับการทานอาหารได้อย่างอร่อยและไม่ต้องกังวลถึงปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ควรคิดเสมอไว้ว่าระหว่างวันเราได้รับน้ำตาลจากแหล่งอาหารอื่นด้วย ไม่ใช่เพียงแค่น้ำผึ้งอย่างเดียว ดังนั้นควรคำนึงถึงปริมาณน้ำตาลรวมทั้งหมดจากอาหารที่เรากินในแต่ละวันด้วยค่ะ
เคล็ดลับที่ 6 เลือกเวลาทานน้ำผึ้ง
ช่วงเวลาการทานน้ำผึ้งไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ เราสามารถเลือกทานได้ตามความสะดวกและความชอบของตัวเองได้เลยว่าอยากทานตอนไหน เพราะไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่ได้ส่งผลให้อ้วนง่าย แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือการควบคุมปริมาณเป็นหลักค่ะ ทั้งนี้ หมอมีช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการทานน้ำผึ้ง ซึ่งอาจส่งผลดีต่อร่างกายและไม่ทำให้อ้วนง่ายด้วยค่ะ
- ตอนเช้า : การทานน้ำผึ้งในตอนเช้าสามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและเพิ่มพลังงานในช่วงเริ่มต้นของวัน
- ก่อนนอน : การทานน้ำผึ้งก่อนนอนอาจช่วยให้หลับสบายขึ้น เพราะมีกรด Decenoic Acid ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดเครียด ผสมน้ำผึ้งกับชาหรือนมอุ่น ๆ จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
ทานน้ำผึ้งเยอะ จนอ้วน! แก้อย่างไรดี
การบริโภคน้ำผึ้งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ติดหวานที่ใส่น้ำผึ้งโดยไม่คุมปริมาณ ซึ่งหมอเข้าใจค่ะว่าบางคนอาจเข้าใจผิดว่าน้ำผึ้งเป็นผลผลิตจากน้ำหวานของดอกไม้ที่ผึ้งงานสะสมไว้ จึงถือเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ จึงทานน้ำผึ้งแบบจัดเต็มไม่คุมปริมาณ เท่ากับว่าร่างกายรับน้ำตาลส่วนเกินเต็ม ๆ รู้ตัวอีกทีน้ำหนักก็ขึ้นจนน่าตกใจแล้วค่ะ!
น้ำตาลในน้ำผึ้งจะถูกดึงไปใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อมีน้ำตาลกลูโคสเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะถูกเก็บไว้ในรูปของไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ เมื่อที่เก็บไกลโคเจนเต็มแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนกลูโคสส่วนเกินที่เหลือไปเป็นไขมัน และสะสมไว้ในเซลล์ไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง, ต้นขา, สะโพก, บั้นท้าย เป็นต้น
ไขมันที่สะสมตามร่างกายนี้ นอกจากจะทำให้ดูอ้วนแล้ว ยังเป็นต้นตอของโรคร้ายต่าง ๆ ทางแก้ปัญหาที่หมอแนะนำคือ ‘การดูดไขมัน (Liposuction)’ เพราะช่วยดูดไขมันเฉพาะส่วนได้ตามที่ต้องการ เช่น เหนียง, ต้นแขน, ต้นขา, เอว, ฯลฯ ค่ะ โดยที่ AMARA เรามีแพทย์เฉพาะทางศัลกรรมดูดไขมันและวิสัญญีแพทย์ ที่พร้อมให้คำปรึกษารายเคสกับคนไข้ค่ะ โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล ช่วยสลายไขมันใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ ดังนั้น หากทานน้ำผึ้งจนเกิดความกังวลเรื่องน้ำหนัก การดูดไขมันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งนี้ก็ไม่ควรทานน้ำผึ้งมากเกินไปนะคะ ระวังไว้ดีกว่าแก้ค่ะ
ต้องการปรึกษาแพทย์ฟรี!
SCan OR Code เพื่อแอดไลน์ หรือ
สาขา รัชโยธิน กด 1
สาขา ราชพฤกษ์ กด 2
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ น้ำผึ้ง อ้วนไหม ?
จบไปแล้วกับ 6 เคล็ดลับทานน้ำผึ้งอย่างไรไม่ให้อ้วน และผู้อ่านคงได้คำตอบของคำถาม น้ำผึ้ง อ้วนไหม ? กันไปแล้วใช่ไหมคะ แต่ยังคงมีเรื่องน่ารู้ที่เกี่ยวข้องกับน้ำผึ้งที่หมอคิดว่าหลายคนกำลังสงสัยอยู่ หมอเลยสรุปข้อมูลมาให้ทุกคนอ่านง่าย ๆ แล้วค่ะ มีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบและผู้แพ้เกสรไม่ควรรับประทานน้ำผึ้ง เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่ำและระบบย่อยอาหารยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อ Clostridium botulinum ซึ่งมีอันตรายออกจากร่างกายได้ ส่วนผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้ก็ห้ามทานน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้และภูมิแพ้รุนแรงได้
21 แคลอรี่/1 ช้อนชา สามารถคำนวณได้ว่าจะทานวันละกี่ช้อนชาถึงจะได้แคลอรี่ที่เหมาะสม โดยใน 1 วันผู้ชายต้องการประมาณ 2,000 – 2,500 แคลอรี่ ส่วนผู้หญิงต้องการประมาณ 1,500 – 2,000 แคลอรี่ เราต้องคำนวณแคลอรี่ว่าจำนวนน้ำผึ้งที่ทานไปนั้นเหมาะสมกับแคลอรี่ที่ควรได้รับต่อวันหรือไม่ค่ะ
น้ำผึ้งแท้มีความหนืดสูงและจะไหลออกจากช้อนอย่างช้าๆ พร้อมกับมีรสชาติหวานธรรมชาติ และกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขณะที่น้ำผึ้งปลอมอาจมีความหนืดน้อยกว่า หรือมีลักษณะคล้ายน้ำเชื่อมและอาจมีรสชาติหวานที่ไม่เป็นธรรมชาติ การทดสอบง่าย ๆ คือการหยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษ หากเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่ซึมผ่านกระดาษ ส่วนปลอมจะซึมและทำให้กระดาษเปียกค่ะ ลองไปทดสอบกันดูนะคะ
การเก็บรักษาน้ำผึ้งควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง โดยไม่จำเป็นต้องแช่เย็น เพราะน้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางธรรมชาติที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แต่ควรหลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่โดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง เพราะอาจทำให้คุณภาพและรสชาติของน้ำผึ้งเสื่อมลงได้
สรุป
การทานน้ำผึ้งสำหรับผู้ชายทานได้ไม่เกิน 9 ช้อนชา ส่วนผู้หญิงและเด็กไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แล้ว น้ำผึ้ง อ้วนไหม ? หากทานเกินที่แนะนำมีแนวโน้มอ้วนง่ายแน่นอนค่ะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทานน้ำผึ้ง เรามีวิธีทานน้ำผึ้งโดยไม่.ให้อ้วนค่ะ คือ ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมกับเมนูต่าง ๆ นอกจากรสชาติหอมหวานแล้ว ยังช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารจากสารอาหารธรรมชาติในน้ำผึ้งอีกด้วย
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย : https://lin.ee/801MUsB
ติดต่อเบอร์โทร :
062-789-1999⇒ สาขา รัชโยธิน กด 1
⇒ สาขา ราชพฤกษ์ กด 2
นพ. วิษณุ เฮ้งสวัสดิ์ (หมอไอซ์)
KOL Trainer แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน Water-jet