LipoCube ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยพัฒนาและลดข้อจำกัดของการเติมไขมันแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะมีทั้งความไม่สม่ำเสมอของผลลัพธ์ หรืออัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันที่ไม่แน่นอนอย่างที่หลายคนทราบกันดี แต่ LipoCube ที่มีการพัฒนาวิธีการจัดการกับเซลล์ไขมันแบบใหม่ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและความสม่ำเสมอของไขมันที่จะนำมาเติมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและมีความคงทนมากกว่าวิธีการแบบเดิม
ปัจจุบัน หลายคนกำลังมองหาทางเลือกในการปรับรูปหน้าที่ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ LipoCube จึงเป็นคำตอบที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะใช้ไขมันของตัวเองซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้สารสังเคราะห์แล้ว ยังให้ผลลัพธ์ที่อ่อนโยนและกลมกลืนกับใบหน้ามากกว่าสารเติมเต็มแบบอื่น ๆ ด้วย แต่แล้ว..การเติมไขมัน LipoCube ที่ไหนดี ที่ไหนปลอดภัย ต้องเลือกยังไงบ้าง? มาลองดูไปพร้อม ๆ กันเลย!
LipoCube คืออะไร? ทำไมถึงเป็นตัวเลือกใหม่ของการเติมไขมัน
LipoCube คือนวัตกรรมล่าสุดในการเติมไขมันที่พัฒนาต่อยอดมาจากการเติมไขมันแบบดั้งเดิม โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างตรงกระบวนการปรับไขมันให้มีขนาดเล็ก ๆ หลายระดับความละเอียด ก่อนนำไปเติมในบริเวณที่ต้องการ
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน การเติมไขมันแบบดั้งเดิมเหมือนกับการนำดินน้ำมันก้อนใหญ่มาปั้นแต่งเป็นก้อนเล็ก ๆ ด้วยมือ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอได้ง่าย แต่ LipoCube นั้นเปรียบเสมือนการใช้ตะแกรงที่มีช่องว่างเท่ากันทุกช่อง ทำให้แพทย์สามารถควบคุมการจัดวางและปริมาณไขมันได้อย่างแม่นยำ แม้จะเป็นระดับที่ต้องการความละเอียดสูงก็ตาม
นอกจากนี้ การที่ไขมันถูกตัดแต่งให้มีขนาดเล็กพอเหมาะยังมีข้อดีทางชีววิทยา เพราะเส้นเลือดสามารถสร้างและแทรกตัวเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ไขมันได้ดีกว่า ทำให้ไขมันรับออกซิเจนและสารอาหารได้อย่างทั่วถึง ต่างจากการเติมไขมันแบบดั้งเดิมที่เซลล์ไขมันอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและตายไปในที่สุด เพราะแพทย์จำเป็นต้องเติมเผื่อในปริมาณมากจนเกิดการอัดตัวแน่น ทำให้ไขมันตายได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุนี้ LipoCube จึงให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและมีความคงทนมากกว่านั่นเอง
เทคโนโลยีอย่าง LipoCube ยังมาพร้อมกับการกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ต้นกำเนิด SVF ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสเต็มเซลล์ ช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่และคอลลาเจน ทำให้ผลการรักษายิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์และเทคโนโลยีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการเติมไขมันนั่นเอง!
การทำงานของ LipoCube มีอะไรบ้าง?
การทำงานของ LipoCube ประกอบด้วยกระบวนการสำคัญสองขั้นตอนที่ทำให้การเติมไขมันมีประสิทธิภาพสูงและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ได้แก่
กลไกการคัดกรองไขมันให้มีความละเอียดสูง
การคัดเลือกไขมันคุณภาพดีเริ่มต้นจากการดูดไขมันจากบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก โดยแพทย์จะเลือกไขมันคุณภาพดีเท่านั้น เพราะไขมันเหล่านี้มีโอกาสรอดชีวิตสูงเมื่อนำไปเติมเต็ม
ไขมันที่ดูดออกมาจะถูกนำไปแยกชั้นด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuge) เพื่อแยกส่วนที่ไม่ต้องการออก เช่น เลือด น้ำเหลือง หรือเศษเนื้อเยื่อที่ปนเปื้อน ทำให้ได้เฉพาะเซลล์ไขมันที่บริสุทธิ์ จากนั้นไขมันจะถูกตัดแต่งให้มีขนาดเท่า ๆ กันผ่านตัวกรองของ LipoCube Nano (กล่องขาว) ซึ่งจะช่วยให้ได้เซลล์ไขมันความละเอียดสูง สามารถรับออกซิเจนและสารอาหารได้อย่างทั่วถึง
การกระตุ้นเซลล์ SVF (Stromal Vascular Fraction)
ในระหว่างกระบวนการคัดกรองไขมัน แพทย์จะทำการกระตุ้นให้เซลล์ SVF ออกมาผ่าน LipoCube SVF (กล่องดำ) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดจากไขมันได้ในปริมาณมากขึ้น
เมื่อนำเซลล์ SVF มาผสมกับไขมันที่ผ่านการคัดกรองแล้ว จะช่วยเพิ่มอัตราการรอดของเซลล์ไขมันที่นำไปเติม เพราะเซลล์ SVF จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่มาเลี้ยงเซลล์ไขมัน นอกจากนี้ เซลล์ SVF ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่เติมไขมัน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและกระชับมากขึ้น ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและสวยงามอีกด้วย
ด้วยการทำงานทั้งสองขั้นตอนนี้ LipoCube จึงไม่ใช่แค่การเติมไขมันธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของความสวยงามและความปลอดภัย
จุดเด่นของการทำ LipoCube
LipoCube เป็นนวัตกรรมการเติมไขมันรูปแบบใหม่ที่พัฒนาต่อยอดมาจากการเติมไขมันแบบดั้งเดิม โดยมีจุดเด่นที่การคัดกรองไขมันให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น ก่อนที่จะนำไปเติมในบริเวณที่ต้องการ กระบวนการนี้ช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมปริมาณและการกระจายตัวของไขมันได้อย่างแม่นยำ โดยจะมีจุดเด่นหลัก ๆ ดังนี้
- การควบคุมขนาดและความแม่นยำที่ดีกว่าเดิม การตัดแต่งไขมันให้มีขนาดเท่ากันช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมปริมาณและการกระจายตัวของไขมันได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถปรับแต่งความละเอียดและสัดส่วนได้ตามต้องการ โดยไม่เกิดการจับตัวเป็นก้อนหรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ
- การเพิ่มอัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมัน ด้วยขนาดและความหนาแน่นที่เหมาะสม ทำให้เซลล์ไขมันได้รับออกซิเจนและสารอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลให้เซลล์ไขมันมีอัตราการรอดชีวิตสูง ผลลัพธ์จึงมีความคงทนและเป็นธรรมชาติมากกว่า
- เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว เนื่องจากการควบคุมขนาดและคุณภาพของไขมันที่ดีกว่า ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา โดยไม่ต้องรอให้ไขมันยุบตัวนานเหมือนการเติมไขมันแบบดั้งเดิม
- ความปลอดภัยที่มากกว่าการใช้สารสังเคราะห์ เพราะ LipoCube ยังเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายของผู้เข้ารับบริการเอง (Autologous fat) ทำให้ไม่เกิดการแพ้หรือการปฏิเสธเซลล์ในร่างกาย ต่างจากการใช้สารเติมเต็มสังเคราะห์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ได้
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและคงทนกว่า เทคนิคการคัดกรองไขมันและการกระตุ้นด้วยเซลล์ SVF ช่วยให้เซลล์ไขมันที่นำไปเติมมีอัตราการรอดชีวิตสูง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความคงทนและดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการเติมไขมันแบบดั้งเดิมหรือการฉีดฟิลเลอร์
- การฟื้นตัวที่ดีขึ้น ด้วยขนาดของไขมันที่เล็กและสม่ำเสมอ ทำให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวได้เร็วกว่า เพราะเซลล์ไขมันสามารถรับออกซิเจนและสารอาหารได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งการกระตุ้นด้วยเซลล์ SVF ยังช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนและการไหลเวียนเลือดในบริเวณที่เติมไขมันเข้าไป ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดีขึ้นด้วย
- ความคุ้มค่าระยะยาว แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการทำอาจสูงกว่าการเติมไขมันแบบดั้งเดิมหรือการฉีดสารเติมเต็มแบบสังเคราะห์ แต่ด้วยอัตราการรอดชีวิตของเซลล์ไขมันที่สูงขึ้น ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าและไม่จำเป็นต้องทำซ้ำบ่อย ๆ จึงมีความคุ้มค่าในระยะยาว
ข้อจำกัดของการทำ LipoCube
แม้ว่าการทำ LipoCube จะเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้าและเสริมความงามด้วยไขมันจากร่างกายตัวเอง แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบก่อนตัดสินใจทำ ดังนี้
- ต้องมีไขมันเพียงพอ การทำ LipoCube จำเป็นต้องมีไขมันในร่างกายเพียงพอเพื่อนำมาใช้ หากเราผอมมาก ๆ หรือร่างกายมีปริมาณไขมันน้อยมากอาจไม่เหมาะกับการเติมเต็มด้วยไขมัน
- ต้องการเวลาพักฟื้น หลังทำ LipoCube อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือแดงในบริเวณที่ดูดไขมันและบริเวณที่ฉีด ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวประมาณ 2-7 วัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้เข้ารับบริการ
- อาจมีความเสี่ยง หากเลือกแพทย์หรือคลินิกไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นธรรมชาติหรือเกิดความผิดปกติได้
- ราคาค่อนข้างสูง การทำ LipoCube ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีเสริมความงามอื่น ๆ โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 50,000-150,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานพยาบาลนั้น ๆ จึงควรพิจารณางบประมาณและเปรียบเทียบสถานพยาบาลหลาย ๆ แห่งก่อนตัดสินใจ
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับทักษะของแพทย์ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้ไขมันกระจายตัวไม่สม่ำเสมอหรือเกิดความผิดปกติได้
ขั้นตอนการทำ Lipocube
การทำ LipoCube เป็นกระบวนการที่ใช้เทคนิคการดูดไขมันและฉีดไขมันกลับเข้าสู่ร่างกายเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และสมส่วน โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมของร่างกายและความต้องการของผู้เข้ารับบริการ วางแผนการรักษาและอธิบายขั้นตอน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด
- การดูดไขมัน แพทย์จะทำการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายที่ไขมันสะสมมาก เช่น ต้นขา, ท้อง, หรือสะโพก ใช้เครื่องมือดูดไขมันแบบอ่อนโยนเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่มีคุณภาพ
- การกรองและคัดเลือกเซลล์ไขมัน ไขมันที่ดูดออกมาจะถูกนำไปผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่ยังมีชีวิตและมีคุณภาพ โดยจะถูกนำไปเตรียมให้พร้อมสำหรับการฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายต่อ
- การฉีดไขมันกลับเข้าสู่ร่างกายส่วนที่ต้องการ แพทย์จะฉีดเซลล์ไขมันที่เตรียมไว้เข้าสู่บริเวณใบหน้าที่ต้องการเติมเต็ม เช่น โหนกแก้ม, หน้าผาก, ขมับ, สะโพก, หน้าอก หรือมือ โดยใช้วิธีการฉีดอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมมาตรและเป็นธรรมชาติ (ในบางสถานพยาบาลอาจมีการใช้ Maft Gun เข้ามาช่วยในการฉีดไขมันให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น)
- การดูแลหลังทำ หลังทำเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังเติมไขมัน เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าแรง ๆ, งดออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลาหลายวัน อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย แต่จะหายไปได้เองภายในไม่กี่วัน
- การนัดติดตามผล เพื่อประเมินผลลัพธ์และให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลตัวเอง
ระยะเวลาพักฟื้น
ทำ Lipocube ที่ไหนดี มีปัจจัยในการเลือกคลินิกอย่างไร
ปัจจุบันการฉีดไขมันด้วย Lipocube กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าและร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เซลล์ไขมันติดดีขึ้นและอยู่ได้นานกว่าวิธีฉีดไขมันแบบเดิม อย่างไรก็ตาม การเลือกสถานพยาบาลที่ให้บริการเติมไขมันนั้นก็มีความสำคัญมาก เพราะหากเลือกที่ที่ไม่มีมาตรฐาน หรือแพทย์ไม่มีความชำนาญหรือประสบการณ์มากพอก็อาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น ไขมันติดไม่ดี เกิดพังผืด การอักเสบ หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำ Lipocube ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้
1. เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญ
การฉีดไขมันไม่ใช่แค่เรื่องของการดูดไขมันแล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกายเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาค เทคนิคการฉีด และการเลือกชั้นผิวที่เหมาะสม เพื่อให้ไขมันติดดีและกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อปัญหาหลายอย่าง เช่น
- ไขมันติดไม่ดี การดูดซึมไขมันกลับหรือ Fat Resorption สูง ทำให้ไขมันสลายเร็วและต้องฉีดซ้ำบ่อยขึ้น
- ไขมันจับตัวเป็นก้อนหรือเกิดพังผืดหลังดูดไขมัน (Fibrosis) ทำให้ผิวเป็นก้อนแข็ง ไม่เรียบเนียน
- ฉีดไขมันผิดชั้นผิว ส่งผลให้เกิดการไหลหรือเคลื่อนตัว ไขมันที่ฉีดอยู่ผิดตำแหน่ง ผิวหรือสัดส่วนดูผิดรูป
- มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ หากเทคนิคการฉีดไม่ปลอดเชื้อมากพอ
2. คลินิกต้องได้รับใบอนุญาตและมีมาตรฐานความปลอดภัย
การฉีดไขมัน เติมไขมัน LipoCube นั้นต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ไม่ควรทำในสถานที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตการให้บริการห้องผ่าตัดหรือการเปิดทำการสถานพยาบาล เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกระบวนการดูดไขมัน และการปลูกถ่ายไขมันกลับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งต้องอาศัยความสะอาดและกระบวนการที่ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น
สิ่งที่คลินิกที่ได้มาตรฐานควรมี ได้แก่
- ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุข
- ห้องผ่าตัดที่สะอาดและปลอดเชื้อ (Sterile Technique) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- การใช้เครื่องมือปลอดเชื้อ และมีมาตรการป้องกันการติดเชื้อที่เข้มงวด
- ระบบติดตามผลหลังทำ และบริการดูแลหลังฉีดไขมัน (After Care)
หลีกเลี่ยงคลินิกที่มีลักษณะดังนี้
- ไม่มีใบอนุญาตสถานพยาบาล หรือไม่มีเลขที่ใบอนุญาตแสดงบนหน้าเว็บไซต์
- ไม่มีมาตรฐานเรื่องความสะอาดของห้องผ่าตัด ไม่มีภาพให้ดูก่อนตัดสินใจทำ
- มีรีวิวเชิงลบเกี่ยวกับปัญหาการติดเชื้อ หรือผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ
3. เทคโนโลยีที่ใช้ต้องได้มาตรฐาน
แม้ว่าจะเป็นการฉีดไขมันเหมือนกัน แต่คุณภาพของเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะส่งผลโดยตรงต่อความอยู่รอดของไขมันและความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์ การใช้วิธีการเติมไขมันแบบเดิม ๆ อาจทำให้ไขมันเสื่อมสภาพเร็วและส่งผลต่ออัตราการติดของเซลล์ไขมันด้วย
สำหรับการเติมไขมันแบบใช้ LipoCube SVF เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจากแบบเดิม โดยช่วยคัดแยกเซลล์ไขมันที่มีคุณภาพสูง พร้อมทั้งได้สเต็มเซลล์ไขมันในปริมาณมากที่มากขึ้นกว่าวิธีการเดิมหลายซีซี จึงให้ผลลัพธ์ที่ติดทนกว่า แม้แบบเดิมจะกระตุ้น SVF ได้เหมือนกันแต่ก็ได้ปริมาณที่น้อยกว่ามากจนแทบไม่เห็นผล
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบก่อนเสมอว่าคลินิกหรือสถานพยาบาลดังกล่าวใช้เครื่อง LipoCube SVF จริง ๆ หรือไม่ เพราะปัจจุบันในประเทศไทย มีเพียง AMARA Clinic เท่านั้นที่นำเข้า LipoCube ทั้งสองชนิดมาใช้งาน (แนะนำให้ตรวจสอบสื่อของทางสถานพยาบาลว่ามีกล่อง LipoCube จริงไหม หรือเป็นแค่การกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดแบบเดิม ๆ อยู่)
นอกจากนี้ ผู้เข้ารับบริการยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่า กระบวนการดูดไขมัน-เติมไขมันนั้นมีการเก็บและดูแลเซลล์ไขมันในสภาวะที่เหมาะสมหรือไม่ แพทย์มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการเติมไขมันแบบ LipoCube มาจริงหรือเปล่า เพราะสองปัจจัยนี้ก็กระทบต่อผลลัพธ์ได้เช่นกัน
4. เปรียบเทียบคุณภาพของสารเติมเต็มแต่ละชนิด
หลายคนอาจจะพอเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วว่า บางสถานพยาบาลอาจเสนอการผสมผสานระหว่างหัตถการอื่น ๆ ร่วมกับการเติมไขมัน ว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเติมไขมัน Lipocube SVF เพียงอย่างเดียว แต่คำถามที่ต้องพิจารณาคือ ผลลัพธ์นั้นเทียบกันได้หรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่น การเติมไขมันและทำ Pico Laser เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน, การเติมไขมันแล้วทำ Ulthera เพื่อยกกระชับกล้ามเนื้อ เป็นต้น ต้องอธิบายก่อนว่าวิธีการเหล่านี้สามารถทำได้เช่นกัน แต่หลังจากเติมไขมันจะต้องพักฟื้นให้ไขมันติดอย่างเต็มที่ก่อนอย่างน้อย 1-6 เดือน แล้วจึงจะสามารถทำหัตถการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีอีกแบบหนึ่งคือการเติมไขมัน PRP เพื่อเพิ่ม Growth Factor ให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งสามารถทำพร้อมกับการดูดไขมัน-เติมไขมันได้ในครั้งเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรอพักฟื้น แต่อย่างไรก็ตาม Growth Factor ใน PRP นั้นไม่ได้มีคุณสมบัติเดียวกับเซลล์ต้นกำเนิด ทำให้ไม่สามารถทดแทนกันได้ 100%
ดังนั้น เราจึงต้องเปรียบเทียบคุณภาพและปัจจัยอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจเติมไขมันหรือสารเติมเต็มแต่ละแบบให้ดีก่อนตัดสินใจ อาจเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายก่อนว่าอยากได้ผลลัพธ์แบบไหน คาดหวังผลลัพธ์ใดจากการเติมไขมันบ้าง แล้วจึงเปรียบเทียบ
PRP ราคาถูกกว่า Lipocube SVF แต่ดีจริงหรือ?SVF และ PRP เป็นสารทางชีววิทยาสองชนิดที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันในด้านการเสริมความงามอยู่เสมอ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกัน ในราคาที่แตกต่าง แต่รู้หรือไม่ว่า ความแตกต่างที่มากกว่าเรื่องค่าใช้จ่ายคือ การมีอยู่ของ Regenerative Cells หรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งได้มาจากการคัดกรองไขมันด้วย LipoCube เท่านั้น
สารเติมเต็มที่ได้จากการทำ PRP นั้นจะประกอบไปด้วย Growth Factor เป็นหลัก ซึ่งมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเท่านั้น แต่สเต็มเซลล์ไขมันนั้นจัดเป็นเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดให้มากขึ้นและมีความแข็งแรง จึงทำให้เซลล์ผิวสุขภาพดียิ่งกว่าเดิมนั่นเอง
แม้ราคาจะแตกต่างกัน แต่ SVF นั้นให้คุณสมบัติที่หลากหลายกว่า หากนำมาใช้ในการเติมไขมัน ผลลัพธ์ที่ได้จาก LipoCube SVF จะมีระยะเวลาคงอยู่ที่นานกว่า ไม่ต้องเติมซ้ำ ๆ หลายครั้งเหมือนการทำ PRP |
5. ดูรีวิวและเคสตัวอย่างจากผู้ใช้บริการจริง
ก่อนตัดสินใจทำ ควรศึกษาผลลัพธ์จากผู้ที่เคยเข้ารับบริการที่สถานพยาบาลนั้น ๆ รวมถึงอ่านรีวิวจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของคลินิก, Facebook, Pantip, Instagram หรือรีวิวจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่หลากหลาย ทั้งรูปภาพเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนทำ-หลังทำ วิดีโอ หรือภาพไลฟ์สด ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นว่าผลลัพธ์ในสื่อนั้นเป็นของจริง ไม่ผ่านการตัดต่อ
6. มีการดูแลหลังทำและการรับประกันผลลัพธ์
การฉีดไขมันต้องอาศัยการดูแลหลังทำที่เหมาะสมเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด สถานพยาบาลที่ดีควรมีบริการติดตามผลหลังเติมไขมันด้วย เช่น การนัดตรวจติดตามผลหลังทำ, คำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองหลังฉีดไขมัน, การรับประกันว่าหากไขมันสลายเร็วผิดปกติ จะมีการดูแลต่ออย่างไรหรือมีบริการเสริมหรือไม่ เป็นต้น

สรุป
LipoCube เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับการฉีดไขมันให้อยู่ได้นานขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการเติมเต็มผิว หลายสถานพยาบาลมีการให้บริการเติมไขมันอยู่ทั่วไป การเลือกว่าจะทำ LipoCube ที่ไหนดีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไป รวมถึงความปลอดภัยและความคงทนของผลลัพธ์ ทั้งยังช่วยให้เราทราบว่าสถานพยาบาลแห่งใดให้บริการเติมไขมัน LipoCube จริงหรือไม่ด้วย
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย : https://lin.ee/801MUsB
ติดต่อเบอร์โทร :
062-789-1999⇒ สาขา รัชโยธิน กด 1
⇒ สาขา ราชพฤกษ์ กด 2