Atkins Diet คือ สูตรลดน้ำหนัก กินแบบลดคาร์บ กินอะไรได้บ้าง?

Atkins Diet คือ หนึ่งในเทรนด์การทานอาหารเพื่อการลดน้ำหนักเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเน้นประเด็นสำคัญคือ “ลดคาร์บ (Low Carb) เน้นโปรตีน” โดย Atkins Diet ถือกำเนิดมาจากนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจท่านหนึ่งในต่างประเทศ โดยมีแนวคิดที่ว่าการลดคาร์โบไฮเดรตและทานโปรตีนให้สูงขึ้นทำให้ลดการอยากอาหารลง พอทานอาหารได้น้อยลงก็จะทำให้น้ำหนักลดนั่นเองค่ะ

ซึ่งวันนี้หมอจะมาแนะนำรูปแบบการไดเอทวิธีนี้กันให้มากขึ้นว่า Atkins Diet คืออะไร? Atkins Diet กินอะไรได้บ้าง? Low Carb ห้ามกินอะไรบ้าง? รวมไปถึงการลดน้ำหนักแบบ Atkins มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างค่ะ

Atkins Diet คือ สไตล์การทานอาหารลดน้ำหนักถือกำเนิดโดยแพทย์

ในปัจจุบันมีรูปแบบการทานอาหารเพื่อการลดน้ำหนักหลากหลายวิธี เช่น การทำ IF, การทานอาหารแบบ Paleo Diet, การนับแคลอรี่เพื่อลดน้ำหนัก,การลดน้ำหนักแบบ Mediterrarean Diet รวมไปถึงการลดน้ำหนักแบบ Atkins ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่คนที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน หรือมีค่า BMI 23 ขึ้นไป รวมไปถึงคนที่รักสุขภาพทั่วไป

Robert C. Atkins

ขอบคุณภาพประกอบจาก : wikipedia

ซึ่ง Atkins Diet คือ หลักการรับประทานอาหารที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1970 โดยนายแพทย์ Robert C. Atkins ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจชาวอเมริกา แต่ในช่วงแรก ๆ สูตรการทานอาหารแบบ Atkins ยังไม่มีความเสถียรเท่าที่ควรและได้มีการปรับเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ จนได้รับความนิยมในปัจจุบันค่ะ สำหรับการลดน้ำหนักแบบ Atkins นั้นจะเน้นยึดหลัก Low Carb ลดการทานคาร์โบไฮเดรตและเน้นการทานโปรตีนรวมไปถึงไขมันให้มากขึ้นค่ะ 

บทความที่เกี่ยวข้อง

• ใครอยากรู้ว่าตัวเองอ้วนหรือผอม คำนวณเพื่อหาค่า BMI ด้วยตัวเองได้ที่ BMI คืออะไร
• นับแคลอรี่ทำให้น้ำหนักลดได้อย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ลดน้ำหนักแบบนับแคลอรี่

ลดน้ำหนักแบบ Atkins ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร

สูตรการลดน้ำหนักแบบ Atkins Diet คือมีแนวคิดว่า สาเหตุที่ทำให้เรามีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นนั้นเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ การทานปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ไม่ดีต่อร่างกาย เช่น อาหารแปรรูป, อาหารปรุงสำเร็จ และอีกหนึ่งสาเหตุ คือ การจัดการคาร์โบไฮเดรตในร่างกายทำงานผิดปกติ หรือ “ภาวะดื้ออินซูลิน” ซึ่งภาวะนี้คือ การที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน เมื่อมีน้ำตาล (ที่เกิดจากการย่อยของคาร์โบไฮเดรต) ในเลือดสูงตลอดเวลาจากการทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง ตับอ่อนจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอเพื่อมาจัดการกับน้ำตาล และนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกิน ไขมันสะสม โรคอ้วน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานนั่นเองค่ะ

โดยแนวทางลดน้ำหนักแบบ Atkins ที่ต้องจำกัดการทานคาร์โบไฮเดรตให้เหลือไม่เกิน 40 กรัมต่อวัน เน้นทานโปรตีนและไขมันแทน ซึ่งจะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ Ketosis ซึ่งร่างกายจะดึงเอาโปรตีนและไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนการใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความอยากอาหารในมื้อถัดไปและกินได้น้อยลง เมื่อแคลอรี่จากอาหารที่ทานไปน้อยลงก็จะส่งผลให้น้ำหนักลดลงตามไปด้วยนั่นเองค่ะ ซึ่งหลักการดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมีความคล้ายกับวิธี Ketogenic Diet ที่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

• Keto อีกหนึ่งเทรนด์ทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักยอดฮิต อ่านเพิ่มเติมได้ที่ อาหารคีโตคืออะไร
• อาหารคลีน กินคลีนอย่างไรให้ได้ผล หาคำตอบได้ที่ อาหารคลีนคืออะไร
• กินอาหารให้ถูกกรุ๊ปเลือด เพื่อสุขภาพที่ดี และหุ่นสวย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

สอบถามฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี

4 ช่วงเวลากับการลดน้ำหนักแบบ Atkins

การลดน้ำหนักแบบ Atkins Diet คือจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลา คือ ระยะเริ่มต้น, ระยะรักษาสมดุลน้ำหนักที่ลดลง, ระยะก่อนเข้าสู่น้ำหนักตัวที่คงที่ และระยะน้ำหนักที่คงตัวแล้ว โดยแต่ละช่วงเวลาในการทานอาหารจะมีการกำหนดปริมาณของคาร์โบไฮเดรตให้เหมาะสำหรับแต่ละช่วง ทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องจนไปถึงในระดับที่เหมาะสมและคงที่ค่ะ

พีระมิดของ Atkins Diet

การแบ่งประเภทอาหารตามหลัก Atkins Diet ให้เรียงลำดับมาก-น้อยลักษณะของพีระมิด แบ่งได้เป็นโปรตีน 80%, ไขมัน 10% และคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกาย 10% โดยสัดส่วนที่มากที่สุดให้เราเน้นทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อปลา, เนื้อวัว, เนื้อวัว, เนื้อไก่ รวมไปถึงแหล่งโปรตีนที่ได้จากถั่วเหลือง

ลำดับถัดมาเป็นพืชผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกาย เช่น ผักสลัดใบเขียว, บร็อคโคลี, ดอกกะหล่ำ, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และลูกแพร์ ส่วนอาหารประเภทไขมันให้เลือกทานไขมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก, ถั่วและเมล็ดพืช และลำดับสุดท้ายเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต หรือข้าวบาร์เลย์ค่ะ

ขอบคุณภาพจาก : drjockers

พีระมิดของ Atkins Diet

• เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น เนื้อวัว, เนื้อวัว, เนื้อไก่
• เนื้อปลาที่มีไขมันและอาหารทะเลต่าง ๆ
• ไข่ไก่ ทานได้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว
• พืชผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น ดอกกะหล่ำ, พริกหยวก, บร็อคโคลี, ผักใบเขียวต่าง ๆ, อะโวคาโด, มะเขือเทศ, หน่อไม้ฝรั่ง หรือผักที่ไม่มีรสหวาน
• ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไขมันและนม เช่น เนย, ชีส, ครีม, โยเกิร์ต และนมสด
• ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์, แมคคาเดเมีย, เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวัน และถั่วทุกชนิด
• ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก, น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันอะโวคาโด
• เครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า, ชา, กาแฟ, ชาเขียว ที่ไม่มีน้ำตาล

Low Carb ห้ามกินอะไรบ้าง

• น้ำตาล เช่น ขนม, น้ำอัดลม, น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำตาล และผลไม้ที่มีรสหวาน
• ไขมันทรานส์ที่มักจะอยู่ในอาหารแปรรูปต่าง ๆ
• อาหาร Low Fat เพราะอาหารพวกนี้มักจะมีน้ำตาลสูงมาก
• ผักที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น มันฝรั่ง, มันเทศ, แครอท, ผักกาด (ใช้เฉพาะ Phase 1 เท่านั้น)
• ผลไม้คาร์โบไฮเดรตสูง เช่น กล้วย, ส้ม, องุ่น (ใช้เฉพาะ Phase 1 เท่านั้น)
• พืชตระกูลถั่วบางชนิด เช่น ถั่วลูกไก่, ถั่วเลนทิล (ใช้เฉพาะ Phase 1 เท่านั้น)

Atkins Diet เมนูง่าย ๆ ทำทานเองได้

สำหรับใครที่กำลังจะลองลดน้ำหนักแบบ Atkins อยู่ แต่ยังไม่มีไอเดียเมนู วันนี้หมอก็มี Atkins Diet เมนู สำหรับ 7 วันมาฝากกันค่ะ สำหรับวัตถุดิบชนิดไหนที่หาไม่ได้หรือไม่ชอบทานก็สามารถดัดแปลงได้ตามวัตถุดิบที่แนะนำให้ทานได้ในด้านบนเลยค่ะ

วิธีลดน้ำหนักเพิ่มเติมจากคำแนะนำคุณหมอ

สำหรับใครที่เคยได้ลองลดน้ำหนักทั้งสูตร IF, Mediterranean, Ketogenic, Paleo รวมถึงสูตร Atkins แล้วยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับเรา หรือไม่สะดวกด้วยเหตุผลต่าง ๆ หมอก็มีอีกหนึ่งทางเลือกในการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมใหม่ “ปากกาลดน้ำหนัก” ที่มีจุดประสงค์เพื่อการลดน้ำหนักแบบปรับพฤติกรรมการทานอาหารแบบยั่งยืน

โดยเพียงแค่ฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์ช่วยคุมความอยากอาหารของเรา ซึ่งจะส่งผลให้เราไม่หิวบ่อย ไม่ทานจุกจิก ทานอาหารแล้วอิ่มไวขึ้น เมื่อทานอาหารที่มีแคลอรี่น้อยลงก็จะส่งผลให้น้ำหนักลดลงในเวลา 3 เดือน รวมไปถึงส่งผลให้กระเพาะอาหารเล็กลงในระยะเวลา 6 เดือน โดยปากกาลดน้ำหนักได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วว่ามีความปลอดภัย แต่ทั้งนี้หมอแนะนำว่าควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลเป็นพิเศษจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ