ฉีดไขมัน VS Filler เป็นคู่หูคู่แค้นที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานมากเลยครับ เพราะระหว่างตัวเลือกสองตัวนี้มีคุณสมบัติที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำ ผลลัพธ์ ความสวยงาม ผลข้างเคียง ราคา หรือประโยชน์ยิบย่อยด้านอื่น ๆ ที่เราอาจจะไม่รู้
การฉีดไขมัน VS Filler จึงเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันอยู่ตลอดว่าแบบไหนดีกว่ากัน? หมอขอสรุปให้สั้น ๆ ว่ามันขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนครับ แค่เราหวังผลหลังทำไม่เหมือนกันก็ช่วยตัดตัวเลือกได้แบบง่าย ๆ ดังนั้น เรามาดูกันเลยว่าระหว่างฉีดไขมัน VS Filler ต่างกันยังไงบ้าง – หมอไอซ์ AMARA Liposuction Center
ทำความรู้จัก ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?
ก่อนอื่น สำหรับคนที่ไม่ทราบรายละเอียดว่าการฉีดไขมันกับการฉีดฟิลเลอร์คืออะไร ทำงานยังไง หรือมีคุณสมบัติยังไงบ้าง เราก็ต้องทำความรู้จักกับสองวิธีเติมเต็มผิวกันก่อน!
การฉีดไขมัน
เป็นการนำไขมันจากส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเราโดยการดูดไขมัน จากนั้น นำไขมันมาผ่านการคัดกรองเซลล์ไขมัน ให้ได้เซลล์ที่ยังมีชีวิตและมีขนาดเล็ก จนสามารถใช้ฉีดเติมเต็มบริเวณที่ต้องการได้
การฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่ถูกสังเคราะห์เลียนแบบ ชกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง สามารถฉีดเติมเต็มผิวได้ทันที มักใช้กับใบหน้าเป็นส่วนใหญ่
ฉีดไขมัน VS Filler ต่างกันยังไงบ้าง?
พอได้รู้แล้วว่าการฉีดไขมันกับการฉีดฟิลเลอร์คืออะไร มีการทำงานอย่างไร ดังนั้น มาดูกันเลยครับว่าการฉีดไขมัน VS Filler ต่างกันแบบไหนบ้าง สามารถนำข้อมูลนี้ไปประกอบการตัดสินใจได้เลยครับ
-
ขั้นตอนการฉีด
การฉีดไขมัน เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ต้องมีการเปิดแผลขนาดเล็กประมาณ 1 เข็ม เพื่อทำให้ไขมันแตกตัวแล้วดูดออกมาเก็บไว้สำหรับคัดกรอง จากนั้นต้องใช้อุปกรณ์ในการกรองให้เนื้อเยื่อไขมันมีขนาดเล็กลงราว ๆ 30-60 นาที จึงจะสามารถนำไขมันมาฉีดได้
การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ถือเป็นการผ่าตัด แต่นับเป็นหัตถการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลหรือเข้าห้องผ่าตัด เพราะฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์ สามารถเปิดใช้งานและฉีดได้เลย
-
ผลลัพธ์
การฉีดไขมัน ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 3-5 ปี สูงสุดคือตลอดชีวิตของเราเลยครับ เพราะไขมันที่เราฉีดเข้าไปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเหมือนกับไขมันส่วนอื่น ๆ ทำให้มีความนุ่มเนียนเป็นธรรมชาติ และไม่สลายได้ง่าย เว้นแต่ออกกำลังกายหนักหรืออายุเยอะมากแล้ว ก็จะค่อย ๆ ลดลงตามกาลเวลา
การฉีดฟิลเลอร์ ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานเพียง 1-2 ปี หรือน้อยกว่านี้หากดูแลตัวเองไม่ดี มีตั้งแต่แบบเหลว นิ่ม หรือแข็งเหมือนกระดูก แล้วแต่ตำแหน่งที่ต้องการฉีด โดยฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ยิ่งถ้าหากดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ดี ก็ยิ่งสลายเร็วขึ้น
-
ผลข้างเคียงหลังทำ
การฉีดไขมัน มีผลข้างเคียงจากทั้งดูดไขมันและฉีดไขมันครับ การดูดไขมันนั้นต้องอาศัยระยะเวลาพักฟื้นกว่าบริเวณนั้นจะหายบวม 1-3 สัปดาห์ และคลินิกบางที่ยังต้องฉีดไขมันเผื่อยุบเยอะมาก ทำให้มีอาการบวมไปราว ๆ 7 วันหรือมากกว่า และมีโอกาสเป็นก้อนหากแพทย์กรองไขมันได้ไม่ละเอียดพอ
การฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยครับ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ฟิลเลอร์ปลอมค่อนข้างเกลื่อนมาก ซึ่งมักจะนำมาจำหน่ายเป็นคอร์สราคาถูกจนน่าสงสัย ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปลอมสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรง หรือจับตัวเป็นก้อนแข็งเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้ แต่ถ้าเลือกคลินิกที่ปลอดภัย รู้วิธีเช็คฟิลเลอร์ของแท้ ก็หายห่วงครับ
-
โอกาสในการแพ้
การฉีดไขมัน เป็นการใช้นำเนื้อเยื่อไขมันตัวเองมากรองให้มีขนาดเล็กลงเท่านั้น ไม่ได้มีสารอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นสารเติมเต็มตามธรรมชาติ ทำให้มีโอกาสแพ้น้อยมากจนถึงไม่มีเลยครับ เพราะเซลล์ของตัวเองย่อมเข้ากับร่างกายของเราได้ดีอยู่แล้ว
การฉีดฟิลเลอร์ แม้จะเป็นของแท้ ก็สามารถเกิดการแพ้ได้เช่นกันครับ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบกรด HA หากร่างกายของเราแพ้กรดตัวนี้หรือแพ้ส่วนผสมอื่น ๆ ที่ใช้สังเคราะห์ผสมเป็นฟิลเลอร์ ก็มีโอกาสแพ้สูง
-
ตำแหน่งที่ฉีดได้
การฉีดไขมัน สามารถนำไปฉีดได้ทั่วใบหน้าและร่างกาย โดยจุดที่นิยมฉีดไขมัน ได้แก่ หน้าผาก ใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หน้าแก้ม ขมับ ฉีดไขมันมือ เสริมหน้าอก และสะโพก จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดแบบเป็นธรรมชาติ
การฉีดฟิลเลอร์ นิยมฉีดทั่วร่างกายเหมือนกันครับ โดยจุดที่ฉีดฟิลเลอร์กันบ่อยที่สุด ได้แก่ หน้าผาก ขมับ แก้ม ใต้ตา ร่องน้ำตา ร่องแก้ม จมูก ปาก คาง หรือเติมฟิลเลอร์หลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น หรือจะเป็นการเติมฟิลเลอร์ทั่วไปใบหน้าเพื่อเพิ่มความสดใสก็ได้
-
ประโยชน์ต่อสุขภาพผิว
การฉีดไขมัน นอกจากจะให้ผลในการปรับรูปหน้าแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้นด้วยครับ เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ดูดออกมาจะมีสเต็มเซลล์ปะปนอยู่ด้วย ซึ่งเสต็มเซลล์นี้จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวแข็งแรง แก้ปัญหาความหมองคล้ำของผิว สามารถปรับรูปหน้าได้อย่างเต็มที่ เพราะดูดไขมันมาใช้หลาย cc ได้ แม้จะเป็นคนผอมก็ตาม
การฉีดฟิลเลอร์ มักหวังผลในการช่วยปรับรูปหน้าเหมือนกัน แต่ก็มีส่วนช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นได้ ทำให้ผิวชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นขึ้นด้วยคุณสมบัติของ HA
-
ราคา-ค่าใช้จ่าย
การฉีดไขมัน ค่าใช้จ่ายต่อการฉีด 1 ครั้งนั้นมีราคาค่อนข้างสูงครับ เริ่มต้นที่ราว ๆ 30,000 บาทขึ้นไป แล้วแต่ข้อกำหนดของทางคลินิก โดยจะเห็นผลชัดเจนตั้งแต่การทำครั้งแรก โดยไม่ต้องมาเติมเพิ่ม และการฉีดไขมันจะมีการนับราคาเป็นหน่วย cc จ่ายหนึ่งครั้งก็จบครับ
การฉีดฟิลเลอร์ จะนับราคาตามหน่วย cc ซึ่งจะอยู่ที่ cc ละ 10,000 บาทขึ้นไปครับ ทำให้การเติมเต็มบริเวณที่ต้องการมีราคาที่ค่อนข้างสูง และจะต้องมีการเติมอยู่ตลอดหากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน จึงมีค่าใช้จ่ายระยะยาวมากกว่าครับ
เปรียบเทียบ จุดเด่นและข้อจำกัด ของการฉีดไขมันกับการฉีดฟิลเลอร์
หลังจากเห็นความแตกต่างระหว่างการฉีดไขมัน VS Filler กันแล้ว เรามาสรุปกันครับว่า ระหว่างตัวเลือกสองตัวนี้ ตัวไหนมีจุดเด่นที่ดีกว่า และมีข้อจำกัดอะไรที่อีกฝ่ายทำไม่ได้บ้าง ในภาพด้านล่างสามารถลองเช็คดูได้เลยครับว่าเราเหมาะกับตัวไหนมากกว่า
จะเห็นได้ว่า ระหว่างการฉีดไขมัน VS Filler ต่างก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่เด่นชัดของตัวเอง ทั้งนี้ การจะเลือกฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเราเองครับ เพราะเรามีจุดประสงค์ในการเลือกวิธีเติมเต็มผิวไม่เหมือนกัน มีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน จุดเด่นบางอย่างจึงจะตอบโจทย์เราได้ดีหรือกลายเป็นข้อจำกัดของเราไปเลยก็ได้
ลบข้อจำกัดของการฉีดไขมัน! หน้าสวยผิวใสด้วยเทคนิค ‘FatSculpt+’
จากการเปรียบเทียบข้างต้น เราอาจจะรู้สึกว่าการฉีดฟิลเลอร์ดูมีข้อได้เปรียบมากกว่าการฉีดไขมัน เพราะนอกจากจะสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัดแล้ว ยังใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า และเห็นผลได้ทันที การฉีดไขมันที่มีข้อจำกัดมากกว่าจึงต้องถูกปัดตกไป
แต่ในปัจจุบัน ข้อจำกัดของการดูดไขมันดังกล่าว ได้ถูกนำมาพัฒนาขึ้นเป็นวิธีการใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ได้แก่ข้อจำกัดในเรื่องของการฉีดไขมันแล้วเป็นก้อนเพราะความไม่ละเอียดของเซลล์ การฉีดไขมันแล้วบวมนาน พักฟื้นนาน หรือการฉีดไขมันแล้วต้องเจ็บปวดจากการดูดไขมันที่ใช้พลังงานความร้อนสูง
การฉีดไขมัน FatSculpt+ เป็นเทคนิคใหม่จาก AMARA Liposuction Center ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้สามารถลบข้อจำกัดของการฉีดไขมันได้ โดยเราเลือกอุปกรณ์ที่ดีที่สุดสำหรับ 3 ขั้นตอนการฉีดไขมัน ตั้งแต่การดูด-เตรียม-เติม คือ เครื่องดูดไขมัน Body-Jet, เครื่องกรองไขมัน LipoCube และเครื่องฉีดไขมัน Maft Gun
Body-Jet จะทำหน้าที่ในการดูดไขมันแบบอ่อนโยนที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดูดไขมันชนิดอื่น ๆ ไม่มีการใช้พลังงานความร้อน ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดมากและยังหายได้เร็วกว่า เพราะผิวไม่ได้รับความร้อนเป็นเวลานาน ทำให้อักเสบน้อยกว่าครับ
ส่วน LipoCube จะมีบทบาทในการกรองไขมันให้มีขนาดเล็กถึงระดับ Nano Fat ที่มีขนาดเท่ากันทั้งหมด (แบบดั้งเดิมทำไม่ได้) ซึ่งจะช่วยให้สามารถฉีดไขมันบริเวณที่ละเอียดอ่อนได้ง่าย ไม่เป็นก้อน เหลวเท่ากับหรือมากกว่าฟิลเลอร์ ทั้งยังช่วยกระตุ้นปริมาณสเต็มเซลล์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เซลล์ไขมันติดดีขึ้น ผิวแข็งแรง ไขมันติดแบบถาวร
ส่วนสุดท้าย การฉีดไขมันด้วย Maft Gun เข้ามาช่วยให้การฉีดมีความสม่ำเสมอ เพราะเครื่องนี้ทำหน้าที่ในการปล่อยหยดไขมันได้เท่ากันทุกหยด ฉีดเสร็จแล้วไม่เป็นก้อน มีโอกาสติดมากกว่าเพราะเส้นเลือดสามารถลำเลียงสารอาหารได้ทั่วถึงกว่า ไม่จำเป็นต้องเติมเผื่อเยอะขนาดนั้น จึงช่วยร่นระยะเวลาพักฟื้นเพราะบวมน้อยกว่าการฉีดไขมันแบบเดิมครับ
ดังนั้น ข้อจำกัดของการฉีดไขมันจะมีแค่ความเจ็บปวดจากการดูดไขมันเท่านั้นครับ แต่อย่างที่แจ้งว่าการดูดไขมันด้วย Body-Jet เจ็บน้อยที่สุดในบรรดาเครื่องดูดไขมันทั้งหมด ทำให้อักเสบน้อยมาก และระหว่างทำก็มีการดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ ทำให้ไม่รู้จักเจ็บปวดระหว่างดูดไขมันแต่อย่างใด
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Vitamin Aura ดริปวิตามินเพิ่มออร่าให้ผิวสวย
- ฟิลเลอร์แท้ หรือ HA Filler ลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้อ่อนเยาว์
สรุป ฉีดไขมัน VS Filler เลือกอะไรดี?
การฉีดไขมัน VS Filler ควรเลือกตามความต้องการของตัวเองจะดีที่สุดครับ หากไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากปรับสัดส่วนแบบถาวร หมอแนะนำเป็นฟิลเลอร์มากกว่า แต่ถ้าอยากประหยัดงบในการปรับสัดส่วน มีเวลาพักฟื้นสัก 3-4 วัน เน้นความคุ้มค่าระยะยาว หมอก็แนะนำเป็นฉีดไขมันเลยครับ
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic