อยากทำนม เสริมหน้าอก ก่อนตัดสินใจต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง วันนี้หมอนิว Amara Clinic รวมทุกเรื่องที่สาว ๆ ต้องดูและเช็กให้ดีก่อนทำหน้าอกมาให้ครบอย่างละเอียดในบทความนี้แล้ว การศัลยกรรมหน้าอกไม่ใช่แค่การผ่าตัดแล้วใส่ซิลิโคนเข้าไปแล้วจบ แต่ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่หากเราเตรียมตัวไว้ดี ย่อมส่งผลต่อผลลัพธ์ที่น่าประทับใจได้ในอนาคตอย่างมากครับ การทำหน้าอก (Breast Augmentation) ถือเป็นศัลยกรรมยอดฮิตที่สาว ๆ ทั่วโลกต่างเดินเข้าออกคลินิกเพื่อแก้ไขปัญหาหน้าอกแบน อกหย่อนคล้อย แต่การที่เราจะเสริมให้ออกมาสวยเหมาะกับรูปร่างได้นั้น จะต้องรู้ 12 เรื่องนี้ก่อนตัดสินใจ!
เสริมหน้าอก มีกี่แบบ? เลือกแบบไหนดี!
การผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น การทำนมด้วยซิลิโคน เติมไขมันหน้าอก และการเสริมแบบไฮบริด ซึ่งการทำนมทั้ง 3 แบบนี้ มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของการขั้นตอนการผ่าตัดและความสามารถในการเพิ่มขนาดหน้าอก
1. เทคนิคทำนมด้วยซิลิโคน
การเสริมด้วยซิลิโคน คือการเพิ่มขนาดหน้าอกที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ด้วยการใช้ซิลิโคนหน้าอกเพิ่มขนาดและเปลี่ยนรูปทรงของหน้าอกให้เป็นแบบที่ต้องการ สามารถเพิ่มขนาดของหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นได้ตามปริมาณ CC ของซิลิโคน เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกหลายไซซ์ในครั้งเดียว ช่วยให้หน้าอกเต่งตึง มีรูปทรงที่สวยงามขึ้นอย่างชัดเจน
2. เทคนิคเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
การเสริมนมด้วยไขมันตัวเอง เป็นวิธีเพิ่มขนาดหน้าอกที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ด้วยการดูดไขมันส่วนเกินออกมาและนำมาเติมบริเวณรอบหน้าอกอีกที ช่วยเพิ่มเนินหน้าอก ทำให้หน้าอกดูสวย อิ่มเอิบ อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าอกไม่มาก หรือ คนที่ต้องการทำหน้าอกแบบธรรมชาติ
3. เทคนิคทำนมแบบไฮบริด (ซิลิโคน+ฉีดไขมัน)
การทำแบบไฮบริด (Hybrid Dual Plane) คือการผสานทั้งเทคนิคการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนและเติมไขมันหน้าอกเข้าไปด้วยกัน จึงมีข้อดีทั้งในเรื่องของการเพิ่มขนาดหน้าอกและยังช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับหน้าอกได้อีกด้วยครับ ในปัจจุบันหลายคนจึงหันมาเสริมนมแบบไฮบริดกันมากขึ้น
ทำนมกี่ CC ดี ? เลือกขนาดหน้าอกยังไงให้ดูสวย
ทำนมกี่ cc ถึงจะดี? ขนาดของ cc ซิลิโคน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อขนาดหน้าอกหลังเสริมอย่างมากครับ ซึ่งควรเลือก cc ที่เหมาะกับรูปร่างและเนื้อหน้าอกเดิม เพื่อให้รูปร่างโดยรวมมีความสมดุลกัน โดยปริมาณของ cc หน้าอกจะมีให้เลือกตั้งแต่ 200cc – 500cc
ทำนม 200cc – 275cc อกไม่แบน ให้ลุคที่เป็นธรรมชาติ
ขนาดซิลิโคน 200cc เหมาะกับคนที่มีหน้าอกเดิมอยู่แล้วประมาณนึง แต่ต้องการเพิ่มหน้าอกให้ดูสวยขึ้นอีกหน่อย โดยการเสริมนมขนาด 200cc จะช่วยเพิ่มไซซ์หน้าอกได้ประมาณ 1-2 ไซซ์ หลังทำหน้าอกจะไม่ดูแบนราบและมีความเป็นธรรมชาติ ดูสมจริง และไม่รู้สึกหนักหน้าอกจนทำให้ปวดหลัง
รีวิว ทำนม 230cc ด้วยซิลิโคน Motiva
ทำนม 300cc – 350cc อกใหญ่กำลังดี ดูเซ็กซี่
สำหรับการเสริมหน้าอกขนาด 300cc – 350cc ถือเป็นขนาดยอดฮิตเลยครับ เหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับตัวเองอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีเนื้อนมน้อย หรือ มีหน้าอกแล้วประมาณนึง ก็สามารถเพิ่มความ Hot ให้กับรูปร่างได้อย่างพอดีด้วยการเลือกศัลยกรรมหน้าอกขนาด 300cc+ ครับ หลังทำนมไปหน้าอกจะใหญ่ขึ้นประมาณ 2-3 ไซต์
รีวิว ทำนม 355cc ด้วยเทคนิค Hybrid Dual Plane
ทำนม 400cc สายแซ่บ เน้นโชว์หน้าอก
การทำหน้าอกขนาด 400cc ถือเป็นขนาดหน้าอกที่ใหญ่กว่าปกติ หลังทำหน้าอกจะใหญ่ขึ้น 3 ไซซ์ขึ้นไป สาว ๆ ที่ชอบแต่งตัวเซ็กซี่มาก ๆ หรืออยากมีหน้าอกใหญ่เหมือนตัวการ์ตูนอนิเมะ ขนาด 400cc ถือเป็นไซซ์ที่ช่วยสร้างลุคแบบนั้นได้เลยครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังในเรื่องของความสมดุลของรูปร่างโดยรวมด้วยครับ
ทำนม 500cc อกเต็มคัพ ลุคสาว Hot
ถ้าขนาด 400cc ยังไม่พอ สาว ๆ สามารถเลือกซิลิโคนขนาด 500cc ในการอัพไซซ์หน้าอกได้เช่นกันครับ นี่ถือเป็นขนาดซิลิโคนที่มีความใหญ่อย่างมากครับ สามารถเพิ่มขนาดให้กับหน้าอกได้มากกว่า 4 ไซซ์ขึ้นไปเลยครับ เรียว่านมใหญ่ขึ้นทะลุจอกันไปเลยครับ การทำนม 500cc แม้จะไม่ได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ ทั่วไปมากเท่าไหร่ แค่กลับกันในกลุ่มของเหล่านางแบบสายเซ็กซี่ การศัลยกรรมหน้าอกขนาด 500cc ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์กับการงานและไลฟ์สไตล์อย่างมากครับ แต่ทั้งนี้ต้องเลือกซิลิโคนให้ดีและศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดต้องเชี่ยวชาญ จึงจะทำให้หลังเสริมมีความสวย ไม่หย่อนคล้อย
ก่อนเลือกขนาดซิลิโคนหน้าอก ต้องรู้คัพหน้าอกของตัวเองก่อน!
วัดขนาดหน้าอกได้ที่ เครื่องคำนวณคัพหน้าอกผู้หญิง
เทคนิคการวางซิลิโคนศัลยกรรมหน้าอก
เทคนิคการวางซิลิโคนศัลยกรรมหน้าอก ถือเป็นส่วนที่จะช่วยเพิ่มความธรรมชาติให้กับตำแหน่งของหน้าอก ยิ่งเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะกับสรีระและขนาดซิลิโคน ก็จะสามารถช่วยป้องกันปัญหาซิลิโคนลอยหลังศัลยกรรมหน้าอกไปได้อีกด้วยครับ โดยการวางซิลิโคนที่ศัลยแพทย์นิยมทำกันจะมี 3 เทคนิคด้วยกันดังนี้
- เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular Plane)
การทำศัลยกรรมหน้าอกด้วยเทคนิคเหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular Plane) คือ การวางซิลิโคนในตำแหน่งเหนือกล้ามเนื้อขึ้นมา ทำให้จัดทรงได้ง่าย หน้าชิดสวย เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกเยอะและมีปัญหาหน้าอกห่าง ซึ่งการทำนมด้วยวิธีวางซิลิโคนรูปแบบนี้จะใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน แต่ก็อาจมีผลเสียในเรื่องของการเกิดพังผืดในอนาคต และปัญหานมแผดในอนาคตได้ง่าย รวมทั้งปัญหาเห็นขอบซิลิโคนที่เด่นชัดขึ้นมาได้ครับ - เสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Plane)
การวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Plane) เหมาะกับคนที่เนื้อหน้าอกน้อย ซิลิโคนจะคอยดันให้หน้าอกดูเด้งเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย หน้าอกจะดูกระชับ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาผิวคลื่น มีโอกาสที่หน้าอกจะผิดรูป เกิดพังผืด หน้าอกแข็งน้อยกว่า แต่การศัลยกรรมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อจะรู้สึกเจ็บมากกว่า ใช้เวลาในการพักฟื้นมากกว่า และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น - เสริมหน้าอกกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ (Dual Plane)
การซิลิโคนแบบกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ (Dual Plane) เป็นการเสริมแบบกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ กึ่งใต้กล้ามเนื้อ (ระหว่างกล้ามเนื้อ) เรียกได้ว่าเป็นเทคนิคที่รวมข้อดีของการเสริมหน้าอกทั้งสองแบบไว้ด้วยกัน ซึ่งซิลิโคนส่วนบนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ส่วนซิลิโคนส่วนล่างจะอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เห็นขอบซิลิโคนบริเวณเนินหน้าอก ส่วนล่างมีความคล้อย โค้งมน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเทคนิคนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก
ทรงซิลิโคนทำนม ทรงกลม VS ทรงหยดน้ำ แบบไหนสวยที่สุด!
รูปทรงของซิลิโคนที่นิยมใช้จะมี 2 แบบด้วยกันคือ ซิลิโคนทรงกลม และ ซิลิโคนทรงหยดน้ำ ซึ่งซิลิโคนหน้าอกแต่ละทรง จะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีปัญหาต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป ใครอยากเสริมใหญ่ ๆ ก็ต้องทรงกลม ส่วนใครที่อยากเพิ่มขนาดเล็กน้อย เน้นความธรรมชาติ ก็ต้องซิลิโคนทรงหยดน้ำเลยครับ
ทำนมด้วยซิลิโคนทรงกลม
ซิลิโคนหน้าอกทรงกลม (Round Breast Implant) ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มหน้าอกให้อึ๋ม นูน กลม ไม่มีปัญหาซิลิโคนเปลี่ยนทรง สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการอัพไซซ์ใหญ่ เหมาะกับคนที่มีเนื้อหน้าอกเยอะ มีฐานหน้าอกที่กว้าง คนที่ต้องการอัพไซซ์ใหญ่หลายไซซ์ คนที่หน้าอกหย่อนคล้อย หรือ คุณแม่หลังคลอดที่ให้นมน้อง แล้วเนินอกหายเป็นต้น แต่ข้อเสียของซิลิโคนหน้าอกทรงกลมคือ ถ้าศัลยกรรมหน้าอกไซซ์ใหญ่มาก เกินตัว อาจจะเห็นขอบ และดูไม่เป็นธรรมชาติได้
ทำนมด้วยซิลิโคนทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนหน้าอกทรงหยดน้ำ (Teardrop Breast Implant) ลักษณะของซิลิโคนหน้าอกทรงหยดน้ำ ด้านบนจะแบน ส่วนด้านล่างจะป่อง การทำหน้าอกทรงหยดน้ำ เหมาะกับคนที่ต้องการหน้าอกแบบธรรมชาติ ไซซ์ไม่ใหญ่ มีเนื้อหน้าอกน้อย และมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หลังทำหน้าอกจะคล้อยลงเหมือนทรงหน้าอกธรรมชาติ
ผิวของซิลิโคนเสริมหน้าอก แต่ละแบบต่างกันอย่างไร?
ผิวของซิลิโคนในปัจจุบันมีให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกันเลยครับ แต่คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักซิลิโคนหน้าอก แค่ผิวเรียบและผิวทราย แต่จริง ๆ ในปัจจุบันมีซิลิโคนหน้าอกผิวกำมะหยี่เพิ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เดี๋ยวเราไปดูกันเลยครับว่าผิวของซิลิโคนทั้ง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไรและเหมะกับใครบ้างครับ
ซิลิโคนผิวเรียบ
ซิลิโคนผิวเรียบ (Smooth) มีความโดดเด่นที่ความบาง เรียบเนียน และสัมผัสนิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายต่อการวางซิลิโคนระหว่างผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดการอักเสบมากเกินไป หลังทำจึงพักฟื้นน้อยลง นอกจากนี้ซิลิโคนผิวเรียบจะมีโอกาสเกิดริ้วน้อยกว่าซิลิโคนผิวทราย แต่ก็มีข้อเสียคือมีโอกาสเกิดพังผืดได้มากกว่าผิวอื่น ๆ และต้องอาศัยการนวดหน้าอกบ่อย ๆ เพื่อให้หน้าอกมีความนิ่มและเป็นธรรมชาติ
ซิลิโคนผิวทราย
ซิลิโคนผิวทราย (Textured) ซิลิโคนผิวทรายถูกออกแบบมาเพื่อลดปัญหาการเคลื่อนตำแหน่งของซิลิโคน เนื่องจากผิวทรายจะช่วยยึดกับเนื้อเยื่อรอบ ๆ ซิลิโคน ทำให้ซิลิโคนไม่เคลื่อนที่ไปมาและติดแน่นอยู่กับตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ซิลิโคนผิวทรายยังมีโอกาสเกิดพังผืดรอบเต้านมน้อยกว่าซิลิโคนผิวเรียบ แต่ทั้งนี้การทำนมด้วยซิลิโคนผิวทรายก็มีข้อเสียคือราคาจะแพงขึ้นกว่าการเสริมด้วยซิลิโ คนผิวเรียบ
ซิลิโคนผิวกำมะหยี่
ซิลิโคนผิวกำมะหยี่ (SmoothSilk) จะเป็นกึ่งเรียบกึ่งทราย เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Motiva มีความนิ่ม และเป็นธรรมชาติมาก โอกาสที่จะเกิดพังผืดน้อย แถมไม่จำเป็นต้องนวดหน้าอกบ่อย ๆ ด้วยครับ ทำให้การเสริมด้วยซิลิโคนผิวกำมะหยี่มาแรงกว่าแบบอื่นไปโดยปริยายแม้ว่าจะมีราคาสูงก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็น ซิลิโคนผิวเรียบ ซิลิโคนผิวทราย และซิลิโคนผิวกำมะหยี่ ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกซิลิโคนให้ถูกต้องและเหมาะกับตัวเอง จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงในการเคลื่อนตำแหน่งของซิลิโคน ความเสี่ยงในการเกิดพังผืดรอบเต้านม งบประมาณ และความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัด หากใครไม่รู้จะเลือกซิลิโคนแบบไหนดี สามารถทักไลน์ปรึกษาหมอเป็นการส่วนตัวได้เลยครับ
ซิลิโคนทำหน้าอก แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร
นอกจากผิวของซิลิโคนจะเป็นส่วนที่ทุกคนต้องรู้ก่อนเสริมหน้าอกแล้ว ลำดับถัดมาหมอนิวขอพาทุกคนไปดูถึงความแตกต่างของซิลิโคนเสริมนมระหว่าง ซิลิโคน Motiva และ ซิลิโคน Mentor ว่าซิลิโคนทั้งสองรุ่นฮิตนี้มีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร เหมาะกับปัญหาหน้าอกของสาว ๆ กลุ่มไหนบ้าง
เปรียบเทียบความแตกต่าง ซิลิโคน Motiva VS ซิลิโคน Mentor
คุณสมบัติของซิลิโคน
ผิวสัมผัสซิลิโคน
รูปทรง
การรองรับมาตรฐาน
ความยืดหยุ่น
ราคาเริ่มต้น
ซิลิโคน Motiva
ผิวสัมผัสแบบ Nano-texture surface (ผิวเรียบกึ่งผิวทราย หรือ ผิวกำมะหยี่)
ทรงกลม / ทรงหยดน้ำ
มาตรฐาน FDA จากสหรัฐอเมริกา
ยืดหยุ่นสูง
94,000.-
ซิลิโคน Mentor
ผิวสัมผัสแบบเรียบและผิวทราย
ทรงกลม / ทรงหยดน้ำ
มาตรฐาน FDA จากสหรัฐอเมริกาและ MHRA
ยืดหยุ่นปานกลาง
69,000.-
สารที่อยู่ในซิลิโคนเสริมหน้าอก มีอะไรบ้าง!
สารที่บรรจุในเต้านมเทียมจะมีสองแบบคือน้ำเกลือ และ ซิลิโคนเจล ครับ ในสมัยก่อนจะเน้นเป็นการใส่ถุงน้ำเกลือ แต่เนื่องจากมีการรั่วซึมได้ง่าย ทำให้หน้าอกหายหรือหน้าอกยุบไปทันที จึงมีการพัฒนาซิลิโคนเจลขึ้น จนเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน
ถุงน้ำเกลือ (Saline implants)
ถุงน้ำเกลือ (Saline implants) เป็นถุงซิลิโคน เสริมหน้าอกที่มีน้ำเกลืออยู่ภายใน มีโอกาสซิลิโคนรั่วมากกว่าถุงซิลิโคนเจล แต่เมื่อรั่วแล้วจะไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เพราะร่างกายสามารถดูดซึมน้ำเกลือได้ตามธรรมชาติ เมื่อถุงน้ำเกลือรั่วแล้ว หน้าอกข้างดังกล่าวก็จะเล็กลงในทันที วิธีในการใส่ถุงน้ำเกลือจะมี 2 แบบคือ ใส่ถุงซิลิโคนเปล่าเข้าไปก่อน แล้วค่อยใส่น้ำเกลือผ่านทางสายยางเข้าไปทีหลัง และ เติมน้ำเกลือไว้อยู่แล้ว ก่อนที่จะนำไปเสริมใส่ในหน้าอก ในปัจจุบันการใช้ถุงน้ำเกลือในการศัลยกรรมหน้าอก ไม่เป็นที่นิมยมมากนัก
ถุงซิลิโคนเจล (Silicone gel implants)
ถุงซิลิโคนเจล (Silicone gel implants) ด้านในจะเป็นซิลิโคนเนื้อเจล ยืดหยุ่นและเหนียว มีความธรรมชาติกว่าถุงน้ำเกลือ มีทั้งแข็งมาก นิ่มมาก มีหลายผิวหลายทรง และหลายขนาดให้เลือก ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ การศัลยกรรมหน้าอกโดยใช้ถุงซิลิโคนเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีโอกาศชำรุดเสียหายน้อยกว่าถุงน้ำเกลือ มีโอกาสเคลื่อนที่ไปมาน้อยกว่า อยู่ได้นานกว่า และธรรมชาติมากกว่า แต่ถ้าถุงซิลิโคนเกิดฉีกขาด อาจทำให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมาในปริมาณมากได้ จนทำให้หน้าอกเปลี่ยนรูป มีความแข็งขึ้น รู้สึกเจ็บมากขึ้น และอาจจะทำติดเชื้อ จนเสี่ยงถึงแก่ชีวิตได้
ทำนม ที่ไหนดี? คลินิกเสริมหน้าอกที่ไหนดีสุด!
สำหรับคนที่อยากเสริมหน้าอกแต่ไม่แน่ใจว่าควรเลือกศัลยกรรมหน้าอกที่ไหนดี? หมอขอแนะนำให้เช็กดูตามลิสต์นี้ จะช่วยให้สาว ๆ สามารถเลือกคลินิกศัลยกรรมที่ดีและมีคุณภาพให้กับตัวเองได้อย่างไม่มีพลาด
-
เสริมหน้าอกโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทำนมที่ไหนแล้วผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ ซึ่งที่ Amara Body Contouring ทุกเคสจะได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง ทำให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่สวยงามอย่างปลอดภัย ดังนั้นก่อนตัดสินใจเสริมที่ไหน จึงต้องเช็กประวัติของแพทย์ให้ดี หรือจะตรวจสอบในแพทยสภาก็ได้เช่นกันครับ
-
ทำหน้าอกกับคลินิกที่มีคุณภาพ มีใบรับรองจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ
คลินิกที่ดีจะต้องมีใบรับรองถูกต้อง ยิ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ จะยิ่งเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัดให้กับคนไข้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการรับรองจาก กระทรวงสาธารณสุข หรือ AACI (American Accreditation Commission International) ต่างก็เป็นการการันตีมาตรฐานที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คนไข้ได้ทั้งสิ้นครับ
-
เสริมหน้าอกในห้องผ่าตัดคลีนรูม Positive Pressure
นอกจากแพทย์เก่ง คลินิกดีแล้ว ห้องผ่าตัดก็จำเป็นต้องมีความสะอาดในระดับคลีนรูมด้วยครับ อย่างเช่น ห้องผ่าตัด Positive Pressure ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของห้องผ่าตัดที่ปลอดเชื้อและนิยมใช้กันทั่วโลก ช่วยให้การผ่าตัดราบรื่น แผลไม่ติดเชื้อ และเสริมให้การพักฟื้นเป็นไปได้ตามเกณฑ์อีกด้วยครับ
-
ทำนมสวย ๆ ต้องมีซิลิโคนดี ๆ
อยากให้หน้าอกสวยหลังเสริมหน้าอก การเลือกใช้ซิลิโคนจะต้องเป็นเกรดมาตรฐาน และมีการรับรองคุณภาพของซิลิโคนจาก อย. ดังนั้นก่อนเลือกคลินิกทำนมที่ไหนดี อย่าลืมถามทางคลินิกและเช็กคุณภาพของซิลิโคนที่ใช้ด้วยนะครับ เพื่อความสวยและความปลอดภัย
-
อยากทำหน้าอกอย่ามองข้าม After Care
อีกสิ่งสุดท้ายที่จะช่วยพาสาว ๆ ไปสู่หน้าอกที่สวยได้นั้นก็คือการดูแลอาการหลังการผ่าตัด หรือ After Care ซึ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่ทางหมอและเอมาร่าคลินิก ให้ความสำคัญไม่แพ้ไปกว่าการผ่าตัดเลยครับ เพราะการดูแลในเรื่องของแผลและติดตามอาการต่าง ๆ จะช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อาการข้างเคียงน้อยลง และออกไปใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจไวขึ้นนั่นเองครับ
ทำไมต้องเสริมหน้าอกที่ Amara Clinic
Amara Clinic (เอมาร่าคลินิก) เราคือศูนย์การดูดไขมัน เติมไขมัน ยกกระชับสัดส่วนโดยตรง และศัลยกรรมความงามครบวงจร ทั้งศัลยกรรมใบหน้าและการศัลยกรรมลำตัว เรามีเคสทุกวัน ดังนั้น ทีมแพทย์ ทีมพยาบาล ทีมดูแลหลังการขาย และเจ้าหน้าที่ จึงมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้และมีความชำนาญในด้านนี้สูง
นอกจากนี้เรายังเน้นผลลัพธ์ที่สวยงามแต่เป็นธรรมชาติ มีความเหมาะสมกับคนไข้แต่ละเคสมากที่สุด และมีความปลอดภัยสูง ดังนั้น สามารถมั่นใจได้เลยว่าหากคุณศัลยกรรมหน้าอกที่ Amara Clinic ไป คุณจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คุ้มค่า และผลข้างเคียงน้อยแน่นอน
- เสริมหน้าอกโดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง
- แพทย์ประเมินละเอียด วางแผนการรักษาเหมาะสม
- แพทย์มีการออกแบบรูปร่าง ให้เหมาะกับเฉพาะบุคคล
- เน้นความธรรมชาติ ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด
- เลือกใช้ซิลิโคนเกรดพรีเมียมเท่านั้น (Mentor, Motiva)
- คลินิกผ่านการรับรองมาตรฐาน AACI จากประเทศสหรัฐอเมริกา
- ห้องผ่าตัดมาตรฐานสากล ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำ
- วางยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์ แบบ 1:1 อย่างปลอดภัย
- เครื่องมือ-อุปกรณ์ทันสมัย ปลอดเชื้อ ผ่านมาตรฐานสากล
- เครื่องมือช่วยชีวิตครบครัน ตามมาตรฐานโรงพยาบาล
- มีห้องพักฟื้นระดับ VVIP รับรอง พร้อมผ้าห่มลมร้อน, เครื่องมอเตอร์สัญญาณชีพ, มื้อรับรอง และพยาบาลคอยดูแลแบบส่วนตัว
- มีบริการ After Care ดูแลครบครัน (เซ็ตยาก่อน-หลัง, ทำแผล, ตัดไหม, ฉายแสงลดบวม, ซัพพอร์ตบรา, ดูแลแผล และอื่น ๆ)
- มีรีวิวจากเคสจริงให้ดูเยอะ ทั้งภาพ, Live และสัมภาษณ์คนไข้จริง
- เจ้าหน้าที่ยินดีให้บริการ ดูแลใส่ใจเต็มที่ทุกเคส และมีโปรโมชั่นสุดคุ้ม
ทำนมที่ Amara Clinic อกสวยเด้ง แผลเล็ก ดีไซน์ได้ทุกสไตล์!
เทคนิคศัลยกรรมหน้าอกที่ AMARA CLINIC เลือกใช้
- Hybrid Dual Plane Technique : เสริมซิลิโคน+เติมไขมันหน้าอก เน้นธรรมชาติ
- Breast Funnel Technique : ใช้กรวยส่งซิลิโคน เปิดแผลเล็ก ลดความบอบช้ำ
- Seamless Technique : ใช้กาวปิดแผล ไม่ต้องเย็บ ทำให้ไม่มีแผลตะขาบ
- Bloodless Technique : เสียเลือดน้อย พักฟื้นไว ไม่ต้องใส่สายเดรน
ตำแหน่งของแผลทำนม อยู่ตรงไหน? แผลใหญ่ไหม
แผลหลังทำหน้าอกซิลิโคนจะมีอยู่ 3 บริเวณคือ ใต้ราวนม, รักแร้ และรอบปานนม ตำแหน่งที่นิยมมากที่สุดคือใต้ราวนม เพราะเจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน และมองเห็นแผลยาก ส่วนบริเวณรักแร้ก็นิยมไม่แพ้กัน เนื้อจากเป็นตำแหน่งที่มีปัญหาแผลคีลอยด์น้อยที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่เห็นแผลเหลืออยู่เลย แต่มีข้อเสียคือรู้สึกเจ็บกว่า และดูแลตัวเองยากกว่าวิธีอื่น ๆ
สุดท้ายเป็นการเปิดแผลรอบปานนม ไม่นิยมมากนักเนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดซิลิโคนที่ใส่ เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมซิลิโคนขนาดเล็ก ส่วนเคสที่มีการเติมไขมันหน้าอก จะมีแผลขนาดเล็กเท่าหัวปากกาบริเวณหน้าอก และแผลบริเวณที่ดูดไขมันออกมา (4 มิลลิเมตร)
วิธีเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก
- เข้าปรึกษาแพทย์ แจ้งประวัติส่วนตัว ปัญหาสุขภาพ เพื่อประเมินร่างกาย วางแผนการทำหน้าอก และให้คนไข้กลับไปเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ควบคู่ไปกับตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อดูความผิดปกติของหน้าอก
- งดยาบางชนิดและวิตามินต่าง ๆ ก่อนทำศัลยกรรมหน้าอก 1 สัปดาห์
- งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ก่อนทำหน้าอก 1 สัปดาห์
- ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ก่อนศัลยกรรมหน้าอก 1 เดือน
- ทำใจให้สบาย นอนหลับให้เต็มที่ และทำงานบ้านให้เรียบร้อย เพราะหลังทำหน้าอกอาจจะรู้สึกเจ็บมาก
- งดดื่มหรือกินอาหารทุกชนิด ก่อนทำศัลยกรรมอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- สวมเสื้อผ้าสบาย ๆ มีกระดุมหน้า และนัดหมายเพื่อนหรือญาติ เพื่อพากลับบ้านหลังทำเสร็จ
- ไม่แต่งหน้า ทาครีม และสวมเครื่องประดับทุกชนิด รวมถึงฟันปลอมด้วย
- ตัดเล็บให้สั้น และล้างสีเล็บ 1 นิ้ว เพื่อให้วิสัญญีแพทย์สังเกตอาการระหว่างการผ่าตัด
เกร็ดน่ารู้ หลังคลอดทำนมได้เลยไหม?
คุณแม่หลังคลอดสามารถทำนมได้ครับ แต่ต้องเว้นระยะห่างการการให้นมลูกไปแล้ว 3-6 เดือน ซึ่งถือเป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายของคุณแม่สามารถพักฟื้นจากการคลอดบุตรได้สมบูรณ์แล้ว รวมทั้งการให้นมบุตรถือเป็นสิ่งสำคัญจึงควรให้นมตามกรอบเวลาที่หมอแนะนำ หลังจากพ้น 6 เดือนไปแล้ว หากต้องการเพิ่มความกระชับให้หน้าอก ต้องการเสริมความมั่นใจให้กับตนเอง ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับหมอได้ครับ
รู้หรือไม่? ตัดหนังหน้าท้อง + เสริมหน้าอก ทำพร้อมกันได้จริงนะ!
เป็นคำถามที่หลายคนอยากจะรู้มาก ๆ เลยครับว่า เราสามารถตัดหนังหน้าท้องพร้อมเสริมหน้าอกในคราวเดียวกันไปเลยได้ไหม? จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวซ้ำสองรอบกว่าจะสวย คำตอบคือได้แน่นอนครับ
แต่! การทำศัลยกรรมหลายอย่างพร้อมกันนั้นจะต้องระวังในเรื่องของการเสียเลือดมาก ซึ่งจะเสียเลือดมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้เข้ารับการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก ขนาดตัว หรือระบบไหลเวียนในร่างกาย ที่ต้องทำการตรวจก่อนผ่าตัด
ประสบการณ์ของหมอเอง ก็เป็นตัวชี้วัดหลักรองจากสภาพร่างกายของผู้เข้ารับการผ่าตัดครับ หากศัลยแพทย์มีความเชี่ยวชาญมากพอ ผ่านมือมาหลายเคส ผ่าตัดเร็วคล่องแคล่ว มีเทคนิคผ่าตัดให้เสียเลือดน้อยที่สุด ก็จะทำให้ความปลอดภัยในการตัดหนังหน้าท้อง + ศัลยกรรมหน้าอกมากขึ้นเป็นเท่าตัวครับ
ตัดหนังหน้าท้อง + เสริมหน้าอกพร้อมกันที่ Amara Body Contouring Center!!
ขั้นตอนการทำนม เสริมหน้าอก
ขั้นตอนทำนมของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามเทคนิคเสริมหน้าอกที่เลือกใช้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีขั้นตอนดังนี้
- วิสัญญีแพทย์ทำการระงับความรู้สึกด้วยการดมยาสลบ
- ในกรณีที่เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง หรือทำนมแบบไฮบริด แพทย์จะทำการดูดไขมันส่วนเกิน เพื่อนำไปคัดกรองให้เหลือเซลล์ไขมันขนาดเล็กถึงระดับ Nano fat
- แพทย์ทำการเสริมหน้าอกตามแผนการรักษาที่วางไว้
- การผ่าตัดเสริมหน้าอกจะใช้เวลาประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะให้ผู้เข้ารับการรักษาไปพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการ 1 คืน ถ้าไม่มีอาการผิดปกติก็สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้
การพักฟื้นหลังทำนม เสริมหน้าอก
หลังทำหน้าอกต้องพักฟื้นกี่วัน นานไหมกว่าหน้าอกจะกลับมาเป็นปกติ? หลังเสริมจะใช้เวลาพักฟื้นที่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ 7-14 วันหลังการผ่าตัด ในระหว่างนี้แผลจะยังไม่แห้งสนิทและมีความบวมช้ำอยู่ การยกของหนักหรือการทำกิจกรรมตามปกติจะยังไม่สามารถทำได้ แต่หลังจาก 14 วันขึ้นไป อาการต่าง ๆ จะน้อยลงจนแทบดูเป็นปกติ ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และสภาพร่างกายของคนไข้แต่ละคน แต่ก็ใช้ว่าพ้น 14 วันไปแล้วจะไม่ต้องดูแลตัวเองนะครับ เพราะหน้าอกหลังเสริมจะเข้าที่ที่สุดคือช่วง 3-6 เดือน (ระยะเวลาของแต่ละเคสสามารถแตกต่างกันไปได้)
การดูแลตัวเองหลังทำนม
- หลังทำหน้าอกแรก ๆ ไม่ควรขยับตัวมาก เนื่องจากร่างกายเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาก จึงมีความเจ็บมาก
- ท่านอนหลังเสริมหน้าอกที่ถูกต้อง คือการนอนหงาย ไม่ควรนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง
- ทำความสะอาดแผลทุกวัน และงดอาบน้ำ ให้เช็ดตัวแทน จนกว่าแผลจะแห้ง (5-7 วัน)
- พันผ้าที่แพทย์พันไว้ให้หลังทำนมตลอดเวลา 2 สัปดาห์
- ให้ใส่ซัพพอร์ตบราหลังเสริมหน้าอก เพื่อพยุงหน้าอกไว้ ไม่ควรบราที่มีโครง หรือสปอร์ตบราสำหรับออกกำลังกาย
- นวดหน้าอกตามแพทย์แนะนำ (การนวดหน้าอกขึ้นอยู่กับซิลิโคนที่เลือก)
- งดอาหารแสลง อาหารที่ไม่สะอาด อาหารทะเล และอาหารหมักดอง 1 เดือน
- งดดื่มเหล้าและงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้แผลหายช้า 1 เดือน
- งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, นม และน้ำอัดลมในช่วงแรก เพราะอาจทำให้ไม่สบายท้องได้
- กินยาตามที่แพทย์ให้ไป เพื่อบรรเทาอาการหลังเสริมอก
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพื่อลดอาการบวม อักเสบ และความเจ็บ 1 เดือน
- นอนหงายหน้าประมาณ 1 เดือน เพราะการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ อาจทำให้ซิลิโคนผิดรูปได้
- งดมีเพศสัมพันธ์ หรือบีบจับหน้าอก 1 สัปดาห์ เพราะหน้าอกอาจบาดเจ็บได้ และเพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของสิริโคนหน้าอก
- พักผ่อนให้มาก ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
- ทายาหรือทาครีมลดรอยแผลเป็น เพื่อป้องกันการเกิดแผลคีลอยด์
- เข้ามาติดตามผลการรักษากับแพทย์ และรับบริการ After Care ตามนัดหมายเป็นประจำ
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังเสริมอก
- อาการบวมช้ำหลังทำ (มากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
- หน้าอกดูสูงกว่าปกติ เป็นเรื่องปกติที่พบได้ หน้าอกจะค่อย ๆ ต่ำลง
- หลังจากที่ฟื้นจากการดมยาสลบ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- กล้ามแขนอาจจะไม่มีแรงได้บ้าง จึงต้องมีทำการบริหารกล้ามเนื้อแขนด้วย
- อาการชา แสบร้อน บริเวณหัวนม และส่วนล่างของหน้าอก (หายได้เองภายในสองปี)
- อาการเจ็บ ๆ เสียว ๆ ประมาณสองเดือนแรก
ชมคลิปความรู้ และ รีวิวทำนม เพิ่มเติมบน Youtube
FAQs
อายุของการเสริมหน้าอกสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่การเทคนิคการผ่าตัด ซิลิโคนที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด หากคุณทำหน้าอกมาถึง 10 ปีแล้ว แนะนำให้เข้ามาตรวจอัลตร้าซาวด์ แมมโมแกรม หรือตรวจอย่างละเอียดด้วยโปรแกรม MRI เพื่อดูความผิดปกติของซิลิโคน
การเสริมหน้าอกแบบที่ดีที่สุดคือ การเลือกเสริมในแบบที่เหมาะกับสรีระเดิมที่สุด เช่น ในเคสที่ตัวเล็ก เนื้อน้อย ควรเสริมหน้าอกซิลิโคน 200cc-300cc จะเป็นขนาดที่เหมาะสมมากกว่าเสริม 400cc แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบและความพอใจของผู้ที่สนใจทำนมด้วยครับ
การทำศัลยกรรมหน้าอกก่อให้เกิดผลข้างเคียง อาทิ อาการปวด ระบม บวมช้ำ และมีรอยแผลหลังการผ่าตัด ซึ่งอาการข้างเคียงดังกล่าวจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปหลังการผ่าตัด 1-3 เดือน
หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว สามารถใช้เสื้อชั้นในแบบปกติได้ตามต้องการ แต่ควรเลือกเสื้อชั้นในที่เหมาะกับขนาดและรูปทรงของหน้าอกใหม่ เพื่อให้หน้าอกดูสวยงามและมั่นใจ (หลังเสริมหน้าอกทำไมต้องใส่สปอร์ตบราหลังเสริมหน้าอก)
หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะแนะนำให้นอนหงายเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณแผลผ่าตัดและป้องกันการเคลื่อนตัวของซิลิโคน
หลีกเลี่ยงการยกของหนักเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากอาจทำให้แผลผ่าตัดปริ หรือทำให้ซิลิโคนเคลื่อนตัวได้
แผลผ่าตัดเสริมหน้าอกจะหายสนิทภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่อาจใช้เวลานานกว่านั้นในบางราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพร่างกายของผู้ทำศัลยกรรม วิธีการเสริมหน้าอก ตำแหน่งที่วางซิลิโคน นอกจากนี้การทำเลเซอร์รอยแผลสามารถช่วยให้แผลผ่าตัดจางลงเร็วมากขึ้น
สรุป
สรุปการเสริมหน้าอกนั้น สามารถทำได้ทั้งการใช้ซิลิโคนหรือไขมันเพียงอย่างเดียว และสามารถทำได้โดยการเสริมทั้งซิลิโคนและเติมไขมันเลยครับ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล และการพิจารณาของหมอ
หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ใครที่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำหน้าอกแบบไหนดี หมอแนะนำให้เข้าพบหมอโดยตรง เพื่อประเมินการรักษาอย่างตรงจุดนะครับ เพราะการพูดคุยกับหมอโดยตรง จะช่วยให้หมอมองเห็นภาพที่คนไข้ต้องการมากขึ้น และคนไข้จะมองเห็นภาพผลลัพธ์หลังทำได้ชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ก่อนทำนั่นเอง
อย่างไรก็ตามอย่าลืมตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และมาตรฐานของคลินิกให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจนะครับ อาจจะดูภาพรีวิวจากคนไข้จริงร่วมด้วย ก็สามารถสร้างความมั่นใจให้ได้เช่นกันครับ
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
ศัลยแพทย์เฉพาะทาง
นพ. ฤทธิกร พรไพศาลสกุล (หมอนิว)
Pingback: นมแฝด เกิดอะไร? น่ากลัวไหม!? แก้ไขได้ด้วย 3 เทคนิคนี้