ต้องยอมรับเลยค่ะ ว่าการดูดไขมันในปัจจุบันเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ข้อมูลสถิติอ้างอิงจาก American Society for Aesthetic Plastic Surgery ยังเปิดเผยว่าการดูดไขมันเป็นขั้นตอนการผ่าตัดเสริมความงาม ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันอีกด้วย! วันนี้หมอมะปราง Amara Clinic จะมาเล่าให้อ่านกันนะคะ
แต่ว่าเคยสงสัยกันไหมคะว่า ก่อนที่จะเป็นที่นิยมขนาดนี้ การดูดไขมันเขาเริ่มกันมาตั้งแต่ยุคไหนปีไหนกันบ้างนะ แล้วใครกันที่มีความคิดสุดแสนจะบรรเจิด ริเริ่มการลงมือดูดไขมันเป็นคนแรก? ถ้าอยากรู้ลองติดตามประวัติศาสตร์การดูดไขมันที่หมอได้รวบรวมมาให้ได้เลยค่ะ
จุดเริ่มต้นของไอเดียการดูดไขมัน
ประวัติศาสตร์การดูดไขมันครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้ คาดกันว่าเริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ.1921 โดย Dr. Charles Dujarrier ซึ่งเป็นคุณหมอด้านสูติ-นรีเวชกรรมชาวฝรั่งเศสค่ะ วันหนึ่งเมื่อคนไข้ของคุณหมอที่ประกอบอาชีพเป็นนางแบบและนักเต้นรำ บอกกับคุณหมอว่าเธออยากปรับรูปทรงข้อเท้าและหัวเข่าของเธอ นี้เป็นจุดเริ่มแรกที่ทำให้คุณหมอชาร์ลส์เริ่มคิดค้นหาวิธีกำจัดไขมันออกจากจุดที่คนไข้ของเขาต้องการ
เครื่องขูดมดลูกถูกนำมาใช้ในเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน ซึ่งตัวชาร์ลส์เองเป็นคนนำเจ้าเครื่องนี้มาขูดไขมันใต้ผิวหนังของคนไข้ เพื่อปรับรูปทรงให้สมดั่งใจหวัง แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่คาดคิด คนไข้กลับติดเชื้อบริเวณหลอดเลือดแดงต้นโคนขาและเกิดเนื้อตาย ทำให้ในที่สุดต้องตัดสินใจตัดขาเธอทิ้งเพื่อไม่ให้เชื้อลุกลาม

ภาพของ Dr.Charles Dujarier
(Credit : cosmosclinic.com.au)

ภาพของ Dr.Ivo Pitanguy (คนกลาง)
(Credit : theguardian.com)
หลังจากนั้นหลายสิบปี ก่อนการดูดไขมันจะถูกคิดค้นขึ้น เทคนิคหนึ่งที่ถูกนำมาใช้และเป็นที่นิยมค่อนข้างแพร่หลายคือ เทคนิค Dermolipectomy โดย Pitanguy ซึ่งเป็นการกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนังและตัดหนังส่วนเกินออกไป ตัวของ Pitanguy ได้อธิบายไว้ในปี 1960 ว่าวิธีการนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาไขมันบริเวณกระดูกต้นขาที่สะสมจนผิดปกติ (อ่านเพิ่มเติม : การดูดไขมันต้นขา)
แม้การรักษาแบบ Dermolipectomy จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ด้านความงามเป็นที่น่าพึงพอใจกว่าการรักษาแบบอื่นๆในยุคสมัยนั้น เทคนิคนี้ยังคงถูกนำมาใช้ในปัจจุบันเพื่อยกกระชับร่างกายในส่วนของท่อนล่างที่อาจเกิดการหย่อนคล้อยหลังจากการลดน้ำหนักในปริมาณมาก ๆ อีกด้วย
วิธีดูดไขมันในช่วง 1970
ต่อมาในปี 1974 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการดูดไขมันในยุคสมัยใหม่ มีเครื่องดูดไขมัน เพื่อยกกระชับร่างกายบางส่วนผ่านเข็มปลายทู่ (blunt cannula) ด้วย “Dry Technique” ถูกคิดค้นขึ้นในเวลานี้โดย Giorgio และ Arpad Fischer สองพ่อลูกชาวอิตาเลี่ยน-อเมริกัน
นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังได้คิดค้นเทคนิค criss-crossing ซึ่งเป็นการย้ายเซลล์ไขมันจากบริเวณหนึ่งที่ไม่ต้องการ ไปเติมเต็มยังอีกจุดหนึ่งที่ขาดหายและทำให้คำว่า “Liposculpture” ถือกำเนิดขึ้นและค่อยๆเป็นที่แพร่หลายหลังจากนั้น หรือเรียกได้ว่าวิธีนี้ คือการเติมไขมันในปัจุบบันนั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น Dry technique ก็ยังมีข้อเสียปรากฏอยู่บ้างเนื่องจากการใช้เข็มเจาะลงไปใต้ผิวหนังสามารถทำให้เกิดห้อเลือดและ seroma จากการจับตัวเป็นก้อนของน้ำเหลืองได้ค่ะ

เข็มปลายทู่ (Blunt cannula)
Dry Technique หรือ การดูดไขมันแบบแห้ง คือ เทคนิคแบบไม่ฉีดหรือเติมสารใด ๆ เพิ่มลงในผิวหนัง โดยจะใช้เข็มเจาะผ่านและใช้หัวดูดไขมันโดยตรง ซึ่งข้อเสียของ Dry technique คือมีความเสี่ยงมากที่เนื้อเยื่อและผิวหนังจะถูกทำลาย เสียเลือดในปริมาณมาก และผลลัพธ์ที่ได้หลังการดูดไขมัน อาจเกิดความไม่เรียบเนียนและไม่สม่ำเสมอค่ะ
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศส Dr. Yves-Gerard Illouz ได้ปรับปรุงและพัฒนาเทคนิคของ Fischers ด้วยการประดิษฐ์เข็มปลายทู่ชนิดใหม่ ที่จะช่วยลดการสูญเสียเลือด และความเสียหายของเส้นประสาท รวมทั้งลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหรือการเสียชีวิตจากขั้นตอนการดูดไขมันลง
ซึ่ง Dr. Illouz ได้ร่วมมือกับคุณหมอชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่งชื่อว่า Dr. Pierre-Francois Fournier เพื่อปรับแต่งเทคนิคนี้เพิ่มเติมอย่าง Wet technique และถ่ายทอดความรู้ต่อ ๆ ไปให้กับศัลยแพทย์พลาสติกชาวยุโรปคนอื่น ๆ
การดูดไขมันด้วยเทคนิคแบบน้ำ หรือ Wet Technique จะเป็นการใช้ Tumescent ที่มีส่วนผสมของน้ำเกลือ อะดรีนาลิน และลิโดเคน (ยาชาระงับประสาท) ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังก่อนเพื่อช่วยระงับความเจ็บปวดให้กับคนไข้ และทำให้ไขมันกระจายตัวได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับการดูดไขมันแบบเก่าอย่าง Dry technique วิธีนี้จะทำให้ร่างกายบอบช้ำน้อยลงเนื่องจากส่วนผสมที่ฉีดเข้าไปสามารถช่วยลดความเสียหายของหลอดเลือดได้ค่ะ
วิธีดูดไขมันในช่วง 1980
ในปี 1985 แพทย์ผิวหนังชาวแคลิฟอร์เนียรายหนึ่ง ชื่อว่า Dr. Jeffrey A. Klein. ได้แนะนำเทคนิคการดูดไขมันแบบ Tumescent Liposuction ขึ้นมา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้สามารถกำจัดไขมันได้มากขึ้น โดยเทคนิคนี้ผู้ป่วยจะรับความเสี่ยงที่น้อยกว่า เพราะสามารถลดการสูญเสียเลือดได้
วิธีดูดไขมันแบบ Tumescent จะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่ รวมถึงการฉีดอะดรีนาลีนใต้ผิวหนังในส่วนที่ต้องการเพื่อกำจัดไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันเกิดการแตกตัว และละลายเป็นของเหลวที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้ผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้กำจัดออกได้โดยง่ายนั่นเอง
การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมันแบบ Tumescent
ก่อนเข้ารับการดูดไขมันด้วยวิธี Tumescent ต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเป็นอันดับแรก ในการเข้ารับการปรึกษาจะเป็นการหารือกันว่า คนไข้แต่ละคนอยากลดสัดส่วนไขมันในบริเวณไหน จากนั้นแพทย์จะทำการประเมินชั้นผิวหนังและบริเวณที่เราต้องการดูดไขมัน รวมถึงถ่ายรูปก่อนการดูดไขมัน เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนหลังจากดูดไขมันเสร็จ ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดมากน้อยแค่ไหน
ตำแหน่งที่สามารถดูดไขมันได้
- ดูดไขมันหน้าท้อง เอวเอส
- ดูดไขมันเหนียง กรอบหน้า
- ดูดไขมันต้นแขน ดูดไขมันปีกหลัง
- ดูดไขมันต้นขาใน ต้นขานอก
- ดูดไขมันหัวเข่า ดูดไขมันน่อง
- ดูดไขมัน Sexy Line, Six Pack
ขั้นตอนการปรึกษา
แพทย์อาจซักถามถึงประวัติการรักษาทางการแพทย์ เช่น เคยทำศัลยกรรมตกแต่งมาก่อนไหม โรคประจำตัวในอดีตและปัจจุบันมีหรือไม่ ปัจจุบันใช้ยาอะไรเป็นประจำหรือแพ้ยาชนิดไหนมาก่อนบ้างไหม รวมถึงการรับประทานอาหารเสริม แม้ว่าจะทานไม่บ่อย แต่แพทย์ก็มีความจำเป็นที่ต้องซักถามคุณก่อนการดูดไขมันเช่นกัน เนื่องจากยาและวิตามินบางชนิดอาจต้องหยุดรับประทานก่อนการดูดไขมันสักระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ หากปกติคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว อาจจะต้องงดก่อนสักพักนะคะ ปกติแล้วก่อนการดูดไขมันควรงดการสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจส่งผลทำให้แผลหายช้า และควรงดการรับประทานน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน สำหรับการดูดไขมันแบบวางยาสลบค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การดูดไขมัน คืออะไร ?
- ขั้นตอนการดูดไขมันมีอะไรบ้าง?
วิธีดูดไขมันแบบสมัยใหม่มีอะไรบ้าง?
ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เทคนิคต่าง ๆ เพื่อการดูดไขมัน ได้ถูกปรับเติมเสริมแต่งขึ้นมาเรื่อย ๆ ตลอดจนการทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด เทคนิคที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่นั้นประกอบไปด้วย การใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวนด์ (Ultrasound), การผลิตเครื่องสั่นสลายไขมัน, การสลายไขมันด้วยพลังงานน้ำ, การกำจัดไขมันด้วยความเย็น และการใช้เลเซอร์ช่วยสลายเซลล์ไขมันเพื่อให้กำจัดได้ง่ายขึ้น
วิวัฒนาการของเครื่องดูดไขมันมีความก้าวหน้าอย่างมาก หากเทียบจากจุดเริ่มต้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เทคนิคต่าง ๆ มากมายสามารถหยิบนำมาใช้เพื่อขจัดไขมันส่วนเกินได้ ไม่ว่าจะเป็นการดูดไขมันต้นแขน การดูดไขมันต้นขา หรือดูดไขมันหน้าท้อง
ซึ่งทาง Amara Clinic มีนวัตกรรมเครื่องดูดไขมันทั้ง body-jet ที่ใช้พลังน้ำในการดูดไขมันเป็นหลัก และเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดสำหรับวงการดูดไขมัน จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าเครื่องถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด ปลอดภัยต่อตัวคนไข้ที่สุด และแน่นอนว่ารอยช้ำหรือความเจ็บจากวิธีดูดไขมันด้วย body-jet จะมีความเจ็บน้อยมาก และในบางรายอาจไม่จำเป็นต้องพักฟื้นเลยด้วย
หรือจะเป็นเครื่องดูดไขมัน Vaser ที่ใช้วิธีดูดไขมันด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ที่สามารถดูดไขมันต้นแขน ดูดไขมันต้นขา หรือส่วนอื่น ๆ ในร่างกายได้ในระยะเวลาไม่นาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีชั้นไขมันหนาและต้องการลดสัดส่วนในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ทาง Amara Clinic ยังมีเครื่องดูดไขมันด้วยคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์อีกหนึ่งชนิดนั้นก็คือ Ultra Z ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีไขมันไม่หนาแน่นมาก และต้องการลดสัดส่วนในเวลาอันรวดเร็ว
เลือกเครื่องดูดไขมันตัวไหนดี?
ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน ที่ได้ปรับปรุงอุปกรณ์และเครื่องมืออยู่เสมอ จึงสามารถมั่นใจได้ว่า เครื่องดูดไขมันในปัจจุบันมีความปลอดภัยอยู่สูงมาก ส่วนจะใช้เครื่องดูดไขมันตัวไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้อยากลดสัดส่วนบริเวณไหน โดยส่วนใหญ่แล้วไขมันต้นขา ไขมันต้นแขน และไขมันหน้าท้อง จะเป็นจุดที่นิยมดูดไขมันออกมาที่สุด การปรึกษาแพทย์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการช่วยตัดสินใจว่าเทคนิคการดูดไขมันแบบไหน จะเหมาะกับความต้องการเฉพาะของคุณมากที่สุดค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เครื่องดูดไขมันมีหลากหลายชนิด … มาดูความแตกต่างของเครื่องดูดไขมันกันได้ที่นี่
- ห้องผ่าตัดที่ปลอดภัยสำหรับการดูดไขมัน อ่านได้ที่บทความ ห้องผ่าตัด ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน
1921 : Dr. Charles Dujarrier
-
- ปรับรูปทรงข้อเท้าและข้อเข่าให้กับคนไข้
- แผลเกิดการติดเชื้อบริเวณหลอดเลือดแดงโคนขา เกิดเนื้อตาย จึงมีความจำเป็นต้องตัดขาทิ้ง
1960 : Dr. Ivo Pitanguy
-
- กำจัดไขมันใต้ผิวหนังโดยการตัดไขมันและหนังส่วนเกินออกไป
- ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาไขมันบริเวณกระดูกต้นขาที่สะสมจนผิดปกติ
- เป็นที่น่าพึงพอใจในยุคนั้น แม้จะเกิดรอยแผลเป็นตามบริเวณที่ผ่าตัด
1974 : Giorgio & Arpad Fischer
-
- เริ่มประดิษฐ์เข็มปลายทู่ (blunt cannula) เพื่อยกกระชับร่างกายบางจุด
- การดูดไขมัน (liposuction) ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก
- เป็นจุดเริ่มต้นของ Dry technique และ criss-crossing
1978 : Dr. Yves-Gerard Illouz & Dr. Pierre-Francois Fournier
-
- ปรับปรุงและต่อยอดเข็มปลายทู่จาก Fischer เพื่อลดการสูญเสียเลือดและไม่ให้เส้นประสาทเสียหาย
- คิดค้น Wet technique ด้วยการฉีดน้ำเกลือเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการดูดไขมันก่อน ซึ่งจะช่วยให้ดูดไขมันได้ง่ายขึ้นและเสียเลือดน้อยลง
1985 Dr. Jeffrey A. Klein.
-
- คิดค้นเทคนิค Tumescent Liposuction ซึ่งเป็นการฉีดน้ำเกลือ ยาชา และเอพิเนฟรินไปยังบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน
- ไขมันถูกดูดออกมาได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเจ็บปวดให้กับคนไข้ เลือดออกน้อยลงและช่วยลดรอยช้ำ
1990 Modern Liposuction
-
- มีการคิดค้นเครื่องดูดไขมันแบบคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasonic liposuction) ลดการทำลายเนื้อเยื่อ และสามารถดูดไขมันได้ง่ายขึ้น
- เกิดการผลิตเครื่องสั่นสลายไขมัน
- เกิดเทคนิคกำจัดไขมันด้วยความเย็น
- มีการนำเลเซอร์มาใช้ในการกำจัดไขมันมากขึ้น

สรุป
เป็นยังไงบ้างคะ กับประวัติศาสตร์การดูดไขมัน หวังว่าทุกท่านคงจะรู้จักการดูดไขมันมากขึ้นแล้วนะคะ ว่าตั้งแต่อดีต จุดเริ่มต้นเป็นยังไง รวมไปถึงในปัจจุบันมีวิธีการดูดไขมันแบบไหนบ้าง? ส่วนใครที่อยากจะรู้จักเรื่องการเติมไขมันบ้าง ก็ตามไปอ่านประวัติศาสตร์การเติมไขมันได้เลยค่ะ ทั้งนี้ ใครที่มีปัญหาส่วนเกินกวนใจ เข้ามาปรึกษาหมอได้นะคะ ปรึกษาฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ ติดต่อมาที่ช่องทางด้านล่างนี้เลย!
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic