ใครที่มีปัญหาหน้าอกไม่สวย ไม่เป็นทรง เนินหน้าอกหาย หรือสาว ๆ หน้าอกเล็ก คงอยากเพิ่มขนาดของหน้าอก ให้ใหญ่ขึ้นแน่ ๆ เพื่อให้เราได้หน้าอกสวย ๆ แต่งตัวชุดไหนก็ดูเนินเต็มนะครับ แต่การเสริมหน้าอกในปี 2023 มีหลายวิธี ทั้งการเสริมซิลิโคน, การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง และการเสริมหน้าอก Hybrid แล้วเราจะเลือกแบบไหนดีล่ะ?
ในบทความนี้ หมอจะมาคลายข้อสงสัยสำหรับคนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างฉีดไขมันหน้าอก หรือเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง กับเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน จะเลือกอะไรดี? ทำนมออกมาแล้วจะสวยเหมือนกันไหม? มีข้อดีข้อเสีย แตกต่างกันอย่างไร วันนี้หมอไอซ์ Amara Liposuction Center (เอมาร่า คลินิก) จะพาทุกคนมาหาคำตอบกันครับ
เสริมหน้าอก มีกี่วิธี?
วิธีเสริมหน้าอก ในปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยมจะมี 3 วิธี คือการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง (ดูดไขมันเสริมอก) และการเสริมหน้าอก Hybrid ที่เป็นการผสานระหว่างการเสริมหน้าอกซิลิโคน และการฉีดไขมันหน้าอกเข้าด้วยกัน วิธีทำนมทั้ง 3 วิธีนี้ ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของผลลัพธ์ที่ได้, แผลทำนมที่ต่างกัน, มีขั้นตอนเสริมหน้าอกที่ต่างกัน และขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลของแต่ละคนด้วย ว่าต้องการแบบใด ถ้าใครยังไม่รู้ความแตกต่าง และยังลังเลว่าจะ “เสริมหน้าอกแบบไหนดี” ก็ลองมาทำความรู้จักการทำหน้าอกทั้ง 3 แบบนี้ในหัวข้อต่อไปได้เลย!
ที่ Amara Clinic เรามีทั้ง การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง,
เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน และ เสริมหน้าอกแบบ Hybrid
![ทำนมดีไหม](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2021/02/190264-Blog-Set-จะทำนม-ต้องรู้สิ่งนี้-เสริมหน้าอกม-1024x512.webp)
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน (Breast Augmentation) คือการใช้เต้านมเทียม (Silicone หรือ ซิลิโคนเสริมหน้าอก) ใส่เข้าไปในหน้าอก เพื่อให้หน้าอกของเรามีขนาดใหญ่ขึ้น (เพิ่มขนาดหน้าอก) ซึ่งซิลิโคนเสริมหน้าอกจะมีความแตกต่างกัน 3 อย่าง คือ
- ผิวของซิลิโคนเสริมอก
- ทรงของซิลิโคนหน้าอก
- ขนาดของซิลิโคน
ซึ่งซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ Amara Clinic ใช้จะมีทั้งซิลิโคน Mentor ตัวยอดฮิต และซิลิโคนเสริมหน้าอก Motivaเลยครับ ส่วนขนาดของซิลิโคนมีทั้งเริ่มต้นไม่ถึง 100 cc ไปจนถึงซิลิโคนเสริมหน้าอก 300 cc 400 cc หรือมากกว่านั้น ตามความต้องการของคนไข้แต่ละคนครับ
โดยการเลือกซิลิโคนเสริมหน้าอกนั้น แพทย์จะพูดคุยความต้องการกับคนไข้ก่อน ว่าต้องการแบบใด แล้วจึงจะเลือกซิลิโคนที่เหมาะสมให้ครับ
![เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2023/01/หมอนิว.webp)
นพ. ฤทธิกร พรไพศาลสกุล (หมอนิว)
ศัลยแพทย์เฉพาะทาง
ข้อดีของการเสริมหน้าอกซิลิโคน
- ไซซ์หน้าอกใหญ่ขึ้นทันที หลายไซซ์
- เพิ่มความมั่นใจให้แก่ทรวงอก
- แก้ปัญหาหน้าอกเล็กได้อย่างตรงจุด
การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เรียกสั้น ๆ ว่าการฉีดไขมันหน้าอก ฉีดนม หรือฉีดไขมันนม (Fat Grafting, Fat Transfer, Lipolifting, Fat Filler) ทั้งหมดนี้คือสิ่งเดียวกัน การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง คือการย้ายเซลล์ไขมันจากจุดหนึ่ง อาทิ หน้าท้อง ต้นขา หรือต้นแขน ไปปลูกถ่ายบริเวณหน้าอก เพื่อให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ (ฉีดไขมันหน้าอก จะเพิ่มขนาดได้ตามฐานหน้าอกของคนไข้แต่ละคน)
ดังนั้น การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เป็นวิธีที่จะช่วยลดไขมันส่วนเกินที่เรากังวลใจออกไป พร้อมทั้งสามารถนำไขมันมาฉีดนมเสริมหน้าอกได้อีกด้วย ทำให้รูปร่างโดยรวมของเราดูดีขึ้น ซึ่งการที่จะนำไขมันออกมาได้นั้น ต้องใช้เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ body-jet ในการดูดไขมันออกมาเท่านั้น เพราะใช้พลังงานน้ำในการสลายไขมันจึงมีความอ่อนโยนมาก ทำให้เซลล์ไขมันไม่ตาย หลังจากนั้นจะมีการนำไขมันไปปั่นคัดกรอง แยกเฉพาะเซลล์ไขมันที่มีคุณภาพไปเติมไขมันหน้าอกต่อ (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับการฉีดไขมัน)
ข้อดีของการฉีดไขมันหน้าอก
- หลังเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง หน้าอกดูเป็นธรรมชาติ
- สัมผัสนิ่ม นุ่ม เหมือนอกจริง
- ดูดไขมันใส่นมทำให้เนินหน้าอกอึ๋มขึ้น แต่งตัวสวยขึ้น
- เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
- สัดส่วนที่กังวลใจ มีขนาดเล็กลงด้วย
ข้อเสียของการเติมไขมันหน้าอก
- หลังฉีดไขมัน หน้าอกอาจยุบตัวลงไป ประมาณ 30%
- ฉีดไขมันเสริมอก ข้อเสียคือ ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ในช่วง 1 เดือนแรก
- ฉีดนมเพิ่มขนาดหน้าอกได้ ตามฐานหน้าอกของคนไข้
- เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ไม่ได้ทำให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก
เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ body-jet คืออะไร?
เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ หรือเครื่อง body-jet (บอดี้เจ็ท) เป็นเครื่องดูดไขมัน ที่ใช้พลังงานน้ำในการสลายเซลล์ไขมัน ให้แตกตัวออกจากกันอย่างอ่อนโยน ทำให้เซลล์ไขมันไม่ถูกทำลาย จึงสามารถนำไขมันไปฉีดไขมันหน้าอกต่อได้ โดยไขมันจะถูกกักเก็บในถังเก็บไขมันสุญญากาศ อย่างปลอดเชื้อ ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดี ที่จะนำไปเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเองต่อได้ นอกจากนี้ ยังทำให้หลังการฉีดไขมันนม และฉีดไขมันหน้าอก มีอาการเจ็บน้อย บวมน้อย ฟกช้ำน้อย และพักฟื้นไวอีกด้วย
![ดูดไขมันพลังน้ำ](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2021/07/Body-jet-liposuction-1024x538.webp)
หากใครที่ต้องการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ลองสอบถามคลินิกเติมไขมันดูว่า ใช้เครื่องอะไรในการดูดไขมันออกมา หากเป็นเครื่องอื่น ๆ หรือเครื่องดูดไขมันพลังความร้อน อาจจะทำให้การเติมไขมันหน้าอกไม่ได้ผลใด ๆ เพราะพลังความร้อน จะเข้าไปทำลายเซลล์ไขมัน ให้กลายเป็นน้ำมัน ซึ่งหมายความว่าไขมันได้ตายไปแล้ว นำไปเติมไขมันหน้าอกต่อแล้ว ไม่ได้ผลแน่นอน การฉีดไขมันหน้าอก เซลล์ไขมันต้องถูกดูดออกมาจากเครื่องดูดไขมันพลังน้ำ body-jet เท่านั้น
การเสริมหน้าอกแบบไฮบริด
การเสริมหน้าอกไฮบริด (Hybrid Augmentation) เป็นการทำนมที่รวมเอาข้อดี ของการเสริมหน้าอกทั้งสองแบบไว้ด้วยกัน และลดข้อเสียของการเสริมหน้าอกทั้งสองแบบ โดยการเสริมหน้าอก Hybrid นี้ จะเป็นการผสมผสานระหว่าง การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน และการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น ตามที่คนไข้ต้องการ โดยที่ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อยู่ คือไม่มีขอบซิลิโคน สัมผัสนิ่ม ผิวเรียบเนียน และเนินอกชิดสวย (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การเสริมหน้าอก Hybrid)
ข้อดีของการเสริมหน้าอก Hybrid
- หน้าอกใหญ่ขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ
- ไม่มีปัญหาขอบซิลิโคน หรือเป็นริ้ว
- ช่วยลดไขมันส่วนเกินไปด้วยได้
- ผิวเรียบเนียนสวย สัมผัสเหมือนอกจริง
ข้อเสียของของการเสริมหน้าอก Hybrid
- อาจจะมีอาการเจ็บบริเวณหน้าอก และบริเวณที่ดูดไขมันได้
- ไขมันที่เติมเข้าไป อาจยุบตัวลงได้บ้าง
การเสริมหน้าอกแต่ละแบบ เหมาะกับใคร?
ก่อนที่จะทำหน้าอก เราต้องรู้ความต้องการของตัวเองก่อน ว่าเราต้องการหน้าอกแบบไหน ใหญ่มาก ใหญ่น้อย หรือทรงหน้าอกแบบไหนที่ชอบ มีแบบในใจหรือไม่ ถ้าเราต้องการเพิ่มเนินหน้าอกเฉย ๆ อยากให้หน้าอกเต็มขึ้น ไม่ได้ต้องการขนาดใหญ่ อาจจะเลือกเป็นการฉีดไขมันหน้าอก หรือฉีดนม หรือถ้าเราเป็นคนที่ต้องการหน้าอกใหญ่ขึ้นหลายคัพ ก็อาจจะเหมาะกับการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน แต่! ถ้าอยากได้ทั้งอกใหญ่ ทั้งธรรมชาติ อาจจะต้องเลือกเป็นการเสริมหน้าอก Hybrid
เสริมหน้าอกซิลิโคน เหมาะกับใคร ?
- คนที่อยากเพิ่มขนาดหน้าอกหลายไซซ์
- คนที่หน้าอกเล็ก อยากเสริมหน้าอกให้ใหญ่
- คนที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย ไม่สวยงาม
- คนที่อยากได้หน้าอกแบบคนต่างชาติ
เสริมหน้าอก Hybrid เหมาะกับใคร ?
- คนตัวเล็ก แต่อยากให้หน้าอกใหญ่ขึ้น
- คนที่เนื้อหน้าอกน้อย ผิวบาง หรือคนผอม
- คนที่อยากให้หน้าอกใหญ่ขึ้น และเป็นธรรมชาติ
- คนที่อยากให้หน้าอกอึ๋มขึ้น เนินเต็มขึ้น
- คนที่อยากให้หน้าอกใหญ่ แบบไร้ขอบซิลิโคน
เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เหมาะกับใคร ?
วิธีเสริมหน้าอกแต่ละแบบ
วิธีเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
เริ่มจากการเปิดปากแผลในบริเวณที่ต้องการ (รักแร้, ปานนม หรือใต้ราวนม) และวางซิลิโคนเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ (เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ, เสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ หรือเสริมหน้าอกระหว่างกล้ามเนื้อ) ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือการเสริมหน้าอกระหว่างกล้ามเนื้อ โดยการเปิดแผลใต้ราวนม เพราะจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด
![ทำนมที่ไหนดี](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2020/12/วิธีเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน-1024x801.webp)
วิธีเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
การฉีดไขมันหน้าอก หรือเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ทำได้โดยการใช้เครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำ body-jet ดูดไขมันส่วนเกินออกมาเก็บในถังสุญญากาศ ที่ป้องกันไม่ให้อากาศสัมผัสกับเซลล์ไขมันได้ หลังจากนั้นก็จะนำเซลล์ไขมันก็จะถูกนำไปปั่นคัดกรอง ในเครื่องคัดแยกเซลล์ไขมัน เพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่มีคุณภาพที่สุด และมีขนาดเซลล์ตามที่แพทย์ต้องการ ก่อนที่จะนำไปฉีดไขมันนม
![ขั้นตอนการเติมไขมัน](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2020/12/ขั้นตอนการเติมไขมัน.webp)
วิธีเสริมหน้าอก Hybrid
เริ่มขั้นตอนด้วยการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน หลังจากนั้นจะดูดไขมันออกมา เพื่อนำไขมันไปฉีดนมต่อ ถ้าเป็นเคสที่ต้องการเสริมหน้าอกเพียงอย่างเดียว แพทย์อาจจะใช้การดูดไขมันด้วยแรงมือ (Manual Liposuction) เพื่อดูดไขมันออกมาในปริมาณที่พอดี แก่การเอาไปฉีดไขมันหน้าอก หากเป็นเคสที่ต้องการดูดไขมัน เพื่อลดสัดส่วนด้วย ก็จะใช้เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ body-jet ในการเก็บไขมันออกมา ไขมันที่ดูดออกมาจะถูกเก็บอย่างปลอดเชื้อ และนำไปคัดกรอง ก่อนที่จะนำไปฉีดไขมันนมต่อไป
![เสริมหน้าอกไฮบริด](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2021/02/ขั้นตอนการเสริมหน้าอกแบบไฮบริด.webp)
การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก
การทำหน้าอก เป็นการศัลยกรรมที่มีความเจ็บมาก จึงทำให้ต้องดมยาสลบในระหว่างทำนม ซึ่งจะต้องมีวิสัญญีแพทย์ คอยสังเกตุอาการตลอดการเสริมหน้าอกด้วย ทำให้เราต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยง หรือความอันตรายขึ้น ดังนั้นก่อนเสริมหน้าอก เราจึงต้องเตรียมตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้
- เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินการรักษา และวางแผนการทำหน้าอก
- ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ควบคู่ไปกับตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อดูความผิดปกติของหน้าอก
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อลดอาการเมายาสลบ
- งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ก่อนทำนมอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
- ล้างสีเล็บและตัดเล็บให้สั้น 1 นิ้ว เพราะวิสัญญีแพทย์จะสังเกตอาการผ่านทางสีเล็บ
- ถอดเครื่องเครื่องประดับทุกชนิด รวมถึงฟันปลอมด้วย
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีฟันโยกภายในช่องปาก
- สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ สีเข้ม ใส่แล้วรู้สึกสบายตัว
- พาญาติหรือเพื่อนมาด้วย เพื่อพาเดินทางกลับบ้าน โดยสวัสดิภาพ
การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอก
- ใส่ซัพพอร์ตบราหลังเสริมหน้าอก เพื่อป้องกันหน้าอกเคลื่อน
- นวดหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส)
- ช่วงแรกให้นอนหงาย หนุนหมอนสูง ห้ามนอนตะแคง ห้ามนอนคว่ำหน้า
- งดใช้แรงแขน งดออกกำลังกาย งดยกของหนัก งดเดินทางไกล
- รับประทานยา ทายา และเข้ามารับบริการ After Care ตามนัดหมาย
- เลือกกินอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ห้ามกินของแสลง ของทะเล ของดิบ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้า
หมายเหตุ : หากเป็นการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง (ฉีดไขมันหน้าอก) เพียงอย่างเดียว ในช่วง 1 เดือนแรก ต้องป้องกันไม่ให้ไขมันที่ฉีดเข้าไป ได้รับความกระทบกระเทือน ไม่ต้องนวดหน้าอกใด ๆ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ ๆ อุณภูมิร้อนจัด หรือเย็นจัด เพื่อให้ไขมันที่ฉีดนมไปติดเยอะ และติดนาน
แผลเสริมหน้าอก เหมือนกันไหม?
แผลเสริมหน้าอกซิลิโคน
แผลเสริมหน้าอกซิลิโคน จะแตกต่างกับแผลเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ซึ่งแผลเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน จะมีขนาดประมาณ 2-3 ซม. ขึ้นไป เพื่อให้สามารถใส่ซิลิโคนเข้าไปได้ และมีทั้งหมด 3 บริเวณคือรักแร้, ปานนม และใต้ราวนม โดยทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ จะมีข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสมแตกต่างกัน
- แผลบริเวณรักแร้ (Trasaxillary) แผลเสริมหน้าอกจะซ่อนอยู่บริเวณรักแร้ มีข้อดีคือ โอกาสที่จะเป็นแผลนูน หรือคีลอยด์ (Keloid) น้อย เนื่องจากบริเวณรักแร้ เป็นจุดที่มีความตึงน้อย มักจะเป็นความหย่อนคล้อยมากกว่า สำหรับข้อเสียคือ มีความเจ็บปวดมากกว่า การเปิดแผลบริเวณใต้ราวนม
- แผลบริเวณปานนม (Periareolar) การเปิดแผลผ่าตัดบริเวณปานนม จะเห็นได้ชัด มีโอกาสเกิดพังผืด และมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าการเปิดแผลบริเวณอื่น เพราะเป็นการผ่าตัดผ่านท่อน้ำนม จึงทำให้วิธีนี้ ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
- แผลบริเวณใต้ราวนม หรือฐานหน้าอก (Inframammary) การเปิดแผลทำนมบริเวณนี้ มีข้อดีคือคนไข้จะรู้สึกเจ็บน้อย มีอัตราการเกิดพังผืดน้อย จะมองไม่เห็นแผลเมื่อคนไข้ยืนขึ้น เนื่องจากเต้านมหย่อนลงมาปิดทับรอยแผล อีกทั้งยังช่วยให้แพทย์วางซิลิโคน ในตำแหน่งที่ต้องการได้ง่ายอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้ มีข้อเสียคือ ถ้าคนไข้นอนลง หรือโกยหน้าอกขึ้น จะทำให้มองเห็นแผลได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เราสามารถเลเซอร์รอยแผลทำนมนี้ได้
แผลฉีดไขมันหน้าอก
การฉีดไขมันหน้าอก หรือเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง จะมีแผลเล็กมาก เป็นรอยแผลที่ได้มาจาก เข็มเล็ก ๆ สำหรับการเติมไขมันหน้าอกเข้าไป 2-3 จุด แผลหายไว ไม่มีปัญหาแผลคีลอยด์ แต่ก็จะมีแผลดูดไขมัน ขนาด 2-3 มม. เพิ่มขึ้นมาด้วย ขึ้นอยู่กับว่าดูดไขมันออกมาจากตำแหน่งใด
หลังทำนมเจ็บไหม? เจ็บต่างกันไหม?
ความเจ็บหลังทำนมด้วยซิลิโคน
เสริมหน้าอกเจ็บไหม? แน่นอนว่าต้องมีความรู้สึกเจ็บได้ หลังการทำหน้าอกด้วยซิลิโคนในปัจจุบัน ไม่ได้เจ็บแบบในสมัยก่อนอย่างที่หลาย ๆ คนคิด ความรู้สึกเจ็บแบบรถสิบล้อทับ ในปัจจุบันไม่มีเลย เพราะแพทย์ได้มีการนำเทคนิคเสริมหน้าอกใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยลง และเสียเลือดน้อยลง แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน อาทิ ตำแหน่งของแผลที่เปิด, วิธีเซาะกล้ามเนื้อ, เทคนิคของแพทย์ หรือขนาดของซิลิโคน เป็นต้น
ซึ่งการเสริมหน้าอกที่ Amara Clinic พักฟื้นไวมาก ด้วยเทคนิคการหยุดเลือดระหว่างผ่าตัด ทำให้เสียเลือดน้อย ไม่ได้เกิดการบาดเจ็บมาก จึงไม่ต้องใส่สายเดรนระบายเลือด ทำให้หลังเสริมหน้าอก คนไข้ของเราใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย ในบางเคสแทบไม่ต้องพักฟื้นเลย หลังจากที่เสริมหน้าอกไป
รีวิว เสริมหน้าอก จากเคสจริง
ความเจ็บหลังฉีดไขมันหน้าอก
การเติมไขมันหน้าอก หรือฉีดไขมันนม จะมีอาการคัดเต้านมเป็นหลัก ไม่ค่อยมีอาการเจ็บนัก แต่อาจจะเจ็บบริเวณที่ดูดไขมันได้ โดยจะมีอาการระบมช้ำจากภายในได้ ซึ่งอาการหลังดูดไขมันต่าง ๆ จะเกิดขึ้นไม่นาน โดยที่เราสามารถไปทำงานในวันถัดไปได้เลย
หมายเหตุ : ระยะเวลาในการพักฟื้น, ความเจ็บ, ความระบม, ฯลฯ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้แต่ละคน
ภาวะแทรกซ้อนหลังเสริมหน้าอก
แน่นอนอยู่แล้วว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่เดิมในร่างกาย หรือซิลิโคนนั้น เป็นสิ่งแปลกปลอม จึงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียงได้มากกว่าการเติมไขมัน ที่มีอยู่เดิมในร่างกายก่อนแล้ว เช่น อาการแพ้ซิลิโคน เสริมหน้าอกมาแล้วหน้าอกห่าง เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนหลังเสริมซิลิโคน
- การขยับร่างกายในช่วงแรก อาจได้ยินเสียงถุงซิลิโคนเสริมหน้าอก เสียดสีกันได้ ซึ่งเกิดได้จากอากาศ หรือน้ำเหลืองที่ค้างอยู่ในบริเวณดังกล่าว
- มีความรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่เต้านม เพราะเส้นประสาทบริเวณรอบ ๆ ได้รับการกระทบกระเทือน
- อาการชาบริเวณหัวนม หรือเต้านม ใน 1-2 เดือนแรก
- อาการแพ้ จากการที่ร่างกายต่อต้านซิลิโคน
- การใส่หน้าอกใหญ่เกินไป อาจทำให้เกิดพังผืดหดรัดซิลิโคน และทำให้หน้าอกแข็งได้
- หากใส่ซิลิโคนที่ใหญ่เกินไป โดยไม่คำนึงถึงสรีระของคนไข้ จะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวแตกลายได้ คนไข้มีอาการเจ็บหลังเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่หน้าอกหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น ตามขนาดของซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ใส่เข้าไป
ภาวะแทรกซ้อนหลังฉีดไขมันหน้าอก
หลังฉีดไขมันเสริมอก ข้อเสียหรือผลข้างเคียงแทบจะไม่มีเลย เพราะเซลล์ไขมัน ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของร่างกาย จึงมีความปลอดภัยมาก หากผ่านกระบวนการเก็บไขมันด้วยระบบปิด ทำตามมาตรฐานที่ถูกต้อง มีการฆ่าเชื้อที่ดี ก็จะปลอดภัย และไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย
สำหรับอาการแทรกซ้อนหลังเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเองสามารถพบเจอได้คือ อาการคัดหน้าอก คล้ายช่วงที่มีประจำเดือน และอาการที่อาจเกิดขึ้นได้คือ การเกิดซีสต์ (Cyst) โดยเกิดจากการที่เซลล์ไขมันตาย และกลายเป็นน้ำมัน จากนั้นจะก่อตัวขึ้นเป็นซีสต์ได้ แต่ซีสต์นี้ จะไม่ส่งผลร้าย หรือส่งผลอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเกิดชีสต์ที่เต้านมได้เช่นกัน แม้ไม่เคยฉีดไขมันเสริมทรวงอกมาก็ตาม
หมายเหตุ : ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ จะขึ้นอยู่หลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งในส่วนของแพทย์ และในส่วนของคนไข้ ไม่ว่าจะเป็น ความสะอาดหรือความปลอดเชื้อของห้องผ่าตัด, เครื่องมือ, อุปกรณ์, การระงับความเจ็บปวด (วางยาสลบ หรือยาชา) , เทคนิคของแพทย์, ความเชี่ยวชาญของแพทย์ รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังเติมไขมันของคนไข้แต่ละคนด้วย
เสริมหน้าอกแล้ว จะอยู่ได้นานแค่ไหน?
เสริมหน้าอกซิลิโคน อยู่ได้นานไหม?
ทฤษฎีเก่าของการเสริมหน้าอกซิลิโคน ที่หลาย ๆ คนเคยบอกไว้ว่า จะต้องเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ทุก ๆ 10-15 ปี แต่ในปัจจุบัน ซิลิโคนเสริมหน้าอก สามารถอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต หากไม่มีปัญหาการขาดรั่วของถุงซิลิโคนหน้าอก ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
ฉีดไขมันหน้าอก อยู่ได้นานไหม?
สำหรับการเติมไขมันหน้าอก หรือฉีดไขมันนม จะคล้ายการปลูกถ่ายอวัยวะ ถ้าไขมันที่ฉีดนมเข้าไปติดแล้ว ก็ติดเลย กลายเป็นหน้าอกเราปกติ เมื่อติดแล้วก็จะอยู่กับเราตลอด เป็นหน้าอกของเราเลย แต่ความหนาแน่นของเซลล์ไขมันทั่วทั้งร่างกาย จะแปรเปลี่ยนไปตามอายุและน้ำหนักเป็นหลัก ถ้าเราอ้วนขึ้น ไขมันก็จะใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นไปด้วยตามธรรมชาติ และเมื่ออายุเราเพิ่มขึ้น หรือมีการลดน้ำหนักลง ไขมันก็จะหายไปได้เช่นกัน
เปรียบเทียบรีวิวเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง VS เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
รีวิวเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัว VS เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนถือว่าให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยครับ ทั้งในแง่ของขนาด รูปทรง ตลอดจนผิวสัมผัส ซึ่งที่ Amara Clinic เรามีรีวิวเสริมหน้าอกทุกรูปแบบ ทั้งรีวิวเสริมอกด้วยซิลิโคน, เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง ฉีดไขมันหน้าอก ดูดไขมันใส่นม รวมไปถึงการเสริมหน้าอกเทคนิคใหม่ อย่างเสริมหน้าอก Hybrid ในรูปแบบของภาพถ่ายทางการแพทย์, ภาพรีวิวเสริมหน้าอก รีวิวเติมไขมันหน้าอก จากเคสจริง และคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ ความประทับใจหลังทำนม ท่านสามารถเลือกดูได้ตามความต้องการได้เลย
![](https://amara-clinic.com/wp-content/uploads/2021/10/BgW-scaled.webp)
สรุป
การเสริมหน้าอก ก็มีให้เลือกหลายแบบ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะเสริมหน้าอกแบบไหน ลองเข้าไปปรึกษาแพทย์ดูนะครับ เพื่อให้เราได้รู้ว่า หน้าอกของเรามีปัญหาอะไร และเหมาะกับการทำนมด้วยวิธีไหน บางคนอาจจะเหมาะกับการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง บางคนอาจจะเหมาะกับการเสริมหน้าอกซิลิโคนมากกว่า หรือทำนมไฮบริดไปเลย ทั้งนี้ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ Amara Clinic ได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ครับ
ปรึกษาแพทย์ ฟรี!
ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic