ลดน้ำหนักแบบ Water Fasting คืออะไร? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำ!

การกินน้ำลดน้ำหนัก

       Water Fasting คือหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักยอดนิยมในสังคมอยู่ตลอด เนื่องด้วยผลลัพธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็วและเห็นผลเป็นตัวเลข ทำให้การลดน้ำหนักด้วยการดื่มแต่น้ำเปล่านั้นเป็นกระแสขึ้นมา แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการทำ Water Fasting อย่างถูกต้องนั้นไม่ได้มีแค่การดื่มแต่น้ำเปล่า-ห้ามทานอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

       การอดอาหารและดื่มน้ำเปล่า เป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้ก็จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากหากเราไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง กลับกลายเป็นได้ผลเสียมากกว่าผลดี และอาจสร้างผลข้างเคียงในระยะยาวได้ ในบทความนี้ หมอมะปราง AMARA จะพาทุกคนมาดูกันว่า Water Fasting คืออะไร? มีที่มาอย่างไรและการทำ Water Fasting ที่ถูกต้องควรมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

Water Fasting คืออะไร?


      Water fasting คือ วิธีลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารและกินเพียงแค่น้ำเปล่าเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 24-72 ชั่วโมง ซึ่งการที่เราอดอาหารนาน ๆ จะส่งผลให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็วชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting ก็มีความเสี่ยงจากการที่ร่างกายขาดสารอาหารและพลังงานไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งผลข้างเคียงของ Water Fasting แบบผิด ๆ สามารถเป็นอันตรายตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

      แม้จะมีข้อโต้แย้งกันอยู่บ้างในทางการแพทย์ แต่การทำ Water fasting คือหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักเร่งด่วนที่มีการพูดถึงมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 5 สมัยก่อนคริสตศักราช ฮิปโปเครติส (Hippocrates) แพทย์ชาวกรีกโบราณที่ได้รับการขนานนามว่า ‘บิดาแห่งการแพทย์’ ได้ให้การส่งเสริมการอดอาหารเพื่อรักษาโรคและการเจ็บป่วยสำหรับโรคบางชนิด ด้วยประโยคยอดฮิตอย่าง ‘การทานอาหารเวลาป่วย คือการเลี้ยงไข้ตัวเอง’

 Famous quote of Hippocrates

        นอกจากนี้ ก็ยังมีวัฒนธรรมและพิธีกรรมทางศาสนาหลายอย่างที่ใช้รูปแบบการอดอาหาร ยกตัวอย่างเช่น การอดอาหารเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าใกล้เทพเจ้าของกลุ่มนักบวชที่บูชาแอสคลีเพียส (Asclepius) หรือเทพแห่งการแพทย์ การรักษา และการฟื้นคืนชีพตามตำนานกรีกโบราณ หรือการถือศีลอดในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เป็นต้น

        ในบางกรณี Water Fasting คือการรักษาทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกับการรักษาโรคอ้วน แต่ด้วยเรื่องของความปลอดภัย ทำให้การการกินน้ำลดน้ำหนักไม่ได้รับความนิยมเท่ากับการอดอาหารแบบ Intermittent Fasting (การทำ IF) เพราะเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนการปฎิบัติให้ดีก่อนตัดสินใจทำและไม่ใช่การลดน้ำหนักที่ให้ผลดีในระยะยาวด้วย

การทำ Water Fasting ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร?


        จุดประสงค์หลักของคนที่เลือกการทำ Water Fasting คือเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการทำ Water Fasting ก็มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้ นั่นก็คือเมื่อร่างกายเราขาดสารอาหารและพลังงานอย่างต่อเนื่อง จะเกิดการดึงพลังงานที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันมาใช้ เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอันเป็นพลังงานหลักที่เราใช้

        กระบวนการที่ร่างกายดึงเอาไขมันมาใช้จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาวะคีโตซิส (Ketosis) อันมักจะเกิดจากการขาดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต จึงมีผลให้ไขมันลดลง รูปร่างดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีวิธีลดน้ำหนักแบบกินคีโต (Ketogenic Diet) อันเป็นวิธีเน้นกินไขมันและโปรตีนสัตว์ และลดคาร์โบไฮเดรตลงให้เหลือไม่เกิน 50 กรัมต่อวัน ซึ่งก็ไม่ใช่การอดอาหารเสียทีเดียว

        ในขณะที่ Water Fasting จะเป็นการอดอาหารโดยสมบูรณ์ สิ่งที่เราทานได้เหลือเพียงแค่น้ำเปล่าหรือน้ำที่ไม่มีแคลอรี่เท่านั้น จึงยิ่งกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญพลังงานเก่าให้มากขึ้น นำไปสู่กระบวนการ Self-Eating หรือกลไกการกินตัวเองของเซลล์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Autophagy (ออ-โต-ฟา-จี)

        กลไกการกินตัวเองจากการทำ Water Fasting คือการนำเซลล์ในร่างกายที่เสียหายกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วเซลล์ของเราจะเสียหายไปตามอายุของเซลล์อยู่แล้ว แต่ Autophagy จะกระตุ้นให้มีการนำเซลล์เหล่านั้นมาประกอบเป็นเซลล์ใหม่เหมือนการรีไซเคิลเซลล์นั่นเอง

        โดยจากข้อมูลของ BBC News ได้ให้คำตอบเอาไว้ว่า กลไกการกินตัวเองของเซลล์มีผลให้รูปร่างดีขึ้น มีส่วนช่วยในการทำลายแบคทีเรียและไวรัส ไปจนถึงการกำจัดโปรตีนและออร์แกเนลล์ที่เสียหาย อันจะนำไปสู่ประโยชน์มากมายของการทำ Water Fasting อ่านในหัวข้อถัดไปได้เลยค่ะ

ทำไมเราต้องทำ Water Fasting มีประโยชน์อะไรบ้าง?


        ประโยชน์ของการทำ Water Fasting นั้นมีหลากหลายมากค่ะ โดยเฉพาะเรื่องทางการแพทย์ เพราะความรู้สึกไม่อยากอาหารถือเป็นกลไกการรักษาตัวเองของร่างกาย แม้จะต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเติมและต้องอยู่ภายใต้การควบคุมความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญ แต่การทำ Water Fasting ก็ยังมีข้อดีของมันอยู่ ได้แก่

Water Fasting ประโยชน์
  1. ช่วยลดความดันโลหิต

    ความดันโลหิตนั้นมีความเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนด้วยค่ะ ดังนั้น เมื่อเราอดอาหารจะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับความดันโลหิตให้มาอยู่ในระดับที่ปกติ และถ้าเราลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการทำ Water Fasting ภายใต้การดูแลของแพทย์ ก็จะช่วยเราเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและรูปร่างได้

  2. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวาน

    เนื่องจากระหว่างการทำ Water Fasting ร่างกายจะมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เนื่องจากไม่ได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลในอาหาร และด้วยเหตุนี้ ระดับฮอร์โมนอินซูลินจึงมีความสมดุลมากขึ้น เพราะน้ำตาลในเลือดมีความคงที่มากกว่าเดิมนั่นเองค่ะ

  3. ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินและฮอร์โมนเลปตินดีขึ้น

    ในการทำ Fasting ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ตอบสนองต่อฮอร์โมนสองชนิดนี้ได้ดีขึ้นอย่างมากเลยค่ะ ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินและฮอร์โมนเลปติน เปรียบเสมือนผู้คุมศูนย์หิว-ศูนย์อิ่มของร่างกาย เมื่อร่างกายเราตอบสนองต่อกระบวนการนี้ได้ดี จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มมากขึ้น กินจุกจิกน้อยลง และยังช่วยลดความอยากอาหารที่มากเกินไปได้ด้วยค่ะ 

  4. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงเรื้อรัง

    อาหารที่มีส่วนในการกระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation) ในร่างกายเช่น เนื้อสัตว์แปรรูปหรือเนื้อแดง อาหารที่มีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และไขมันเลวสูง ล้วนเป็นตัวการก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ดังนั้น การทำ Water fasting อย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่อาจพัฒนามาจากการอักเสบเรื้อรังดังกล่าวเช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว ข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาการปวดหลังเรื้อรัง ไมเกรน ซึมเศร้า ลำไส้อักเสบ/แปรปรวน หอบหืด ไซนัสอักเสบ ลมพิษ หรือการเกิดสิว เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ Water Fasting ที่ถูกต้อง


       อย่างที่ได้อธิบายไปค่ะว่าการทำ Water Fasting นั้นค่อนข้างอันตรายมากหากทำไม่ถูกวิธี หลายคนมักจะเลือกทำ Water Fasting เองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน กลายเป็นเริ่มอดข้าวเอาเอง อดหลาย ๆ วันเพราะอยากให้น้ำหนักลงเร็วที่สุด ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยนะคะ การลดน้ำหนักด้วย Water Fasting คือกระบวนการที่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และจะมีขั้นตอนที่ถูกต้องดังต่อไปนี้

วิธีทำ Water Fasting ที่ถูกต้อง

ต้องการปรึกษาแพทย์ฟรี!

SCan OR Code เพื่อแอดไลน์ หรือ

062 - 789 -1999

สาขา รัชโยธิน กด 1
สาขา ราชพฤกษ์ กด 2

  1. สำรวจตัวเองก่อน เราเหมาะกับ Water Fasting หรือไม่?

    การทำ Water Fasting ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่เหมาะกับทุกคนค่ะ อย่างที่ได้อธิบายไปว่าต้องเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้นถึงจะเหมาะกับการทำ Water Fasting และแม้วิธีนี้จะมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ มากมายก็จริง แต่การอดอาหารเป็นเวลานานกว่าปกติ อาจทำให้ร่างกายของคนบางกลุ่มเสี่ยงอันตรายได้ โดยเฉพาะกับบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้

  • กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ร่างกายต้องการสารอาหารและพลังงานมากในการลำเลียงไปให้ทารก
  • ยังอยู่ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น ร่างกายต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อพัฒนาการ
  • เป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป ร่างกายอาจไม่แข็งแรงมากพอ เสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้
  • กำลังมีอาการติดเชื้ออยู่ ร่างกายอ่อนแอ ต้องการสารอาหารและพลังงานเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
  • เป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติ ไม่ควรอดอาหารทุกชนิดและต้องอยู่ใต้ความดูแลของแพทย์
  • เป็นเบาหวาน ต้องใช้อินซูลิน แม้การทำ Water Fasting จะมีประโยชน์กับระดับอินซูลิน แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูง และงานวิจัยที่บ่งชี้น้อย
  • มีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับความอยากอาหาร อาจไปกระตุ้นให้เกิดโรคดังกล่าวได้
  • เป็นโรคเลือด หัวใจ ตับ หรือไต จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการอดอาหาร
  • พึ่งผ่านการผ่าตัดหรือทำหัตถการมา ร่างกายต้องการสารอาหารและพลังงานเพื่อฟื้นฟูตัวเองก่อน
  • เป็นโรคเกาต์ ไม่สามารถทำ Water Fasting ได้ เพราะอาจทำให้ระดับกรดยูริกเพิ่มสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ไม่ควรอดอาหาร เพราะร่างกายไม่แข็งแรง อาจทำให้ขาดสารอาหารกว่าเดิม อ่อนเพลียหรือเป็นลมได้

2. ตรวจร่างกายเพื่อให้แพทย์วางแผนการอดอาหารอย่างเหมาะสม

เมื่อทราบแล้วว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ควรทำ Water Fasting ก็สามารถนัดพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายก่อนเริ่มต้นได้เลยค่ะ โดยแพทย์จะมีการตรวจความพร้อมของร่างกาย ได้แก่ การตรวจเลือด ชั่งน้ำหนัก ซักประวัติเพื่อหาโรคประจำตัว การใช้ยาและอาหารเสริม เช็คความพร้อมทางสภาพแวดล้อม สถานที่ อุปกรณ์ จุดประสงค์หรือเป้าหมายในการทำ Water Fasting เป็นต้น 

3. เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเริ่ม Water Fasting

หลังจากผ่านการตรวจร่างกายและพบว่าสามารถทำได้ ก็จะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อเริ่มทำ Water Fasting ค่ะ โดยเราจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ว่าระหว่างก่อนจะทำ Water Fasting นั้นจะต้องทานอาหารอย่างไรบ้าง เพื่อสะสมพลังงานให้ร่างกายแข็งแรงที่สุดสำหรับการเริ่มอดอาหาร นอกจากนี้ อาจจะต้องมีการเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการหยุดสารอาหารบางอย่าง เช่น คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งต้องค่อย ๆ ลดระดับลงมาเพื่อลดผลข้างเคียงระหว่างทำ Water Fasting

4. เริ่มต้นการอดอาหารแบบ Water Fasting

เมื่อผ่านเงื่อนไขในการเตรียมตัวทั้งหมดแล้ว ก็จะเข้าสู่การเริ่มต้น Water Fasting ค่ะ โดยในระหว่างนี้จะต้องงดทานอาหารทุกชนิด และดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะต้องมีการเตรียมน้ำเปล่าอย่างน้อย 1.8 ลิตรหรือมากกว่าสำหรับการอดอาหารหนึ่งวัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของเรา อันจะได้รับการประเมินจากแพทย์ตั้งแต่ก่อนเริ่ม Water Fasting

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการทำ Water Fasting จะไม่มีแรงขยับตัว ต้องรักษาพลังงานเอาไว้ ในความเป็นจริง หากอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เราสามารถออกกำลังกายตอนทำ Water Fasting ได้ด้วยซ้ำค่ะ! โดยจะมีจุดประสงค์เพื่อให้เผาผลาญได้ดีขึ้น แต่ความเข้มข้นในการออกกำลังกายนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ยกตัวอย่างการออกกำลังกายและกิจกรรมที่แนะนำระหว่างทำ Water Fasting ได้แก่ แอโรบิกแบบเบา ๆ, โยคะ, นั่งสมาธิ, ฝึกหายใจ เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting คือวิธีอดอาหารที่มักจะเกิดผลข้างเคียงไม่มากก็น้อย แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาแล้วก็ตาม เพราะร่างกายของคนเรารับผลกระทบได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว ดังนั้น จึงอาจมีผลข้างเคียงระหว่างทำ Water Fasting ได้ตั้งแต่วันแรกที่ทำ

อาการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำ Water Fasting

    • รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา
    • ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ
    • อารมณ์แปรปรวน
    • วูบเมื่อเปลี่ยนอิริยาบทกะทันหัน
    • มีอาการบ้านหมุน
    • นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
    • เกิดอาการขาดน้ำ (หากดื่มน้ำไม่พอ)
    • เกิดภาวะความดันเลือดต่ำ

5. สิ้นสุดการทำ Water Fasting

เมื่อครบเวลาที่กำหนดแล้ว ก็ถึงช่วงที่สามารถหยุดการอดอาหารได้ โดยพึงระลึกเสมอว่าการทำ Water Fasting คือวิธีลดน้ำหนักสำหรับเฉพาะบุคคล บางคนอาจจะไม่สามารถทำได้นานหนัก หรือบางคนที่แข็งแรงพอก็อาจทำได้นานกว่าคนทั่วไป แต่ทั้งนี้ คนที่ผ่านการทำ Water Fasting มาแล้วจะไม่สามารถกลับมาทานอาหารเหมือนเดิมได้ในทันทีนะคะ เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหารมานาน อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

เราจะต้องเริ่มจากการดื่มน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาวหรือแอปเปิ้ลไซเดอร์เล็กน้อยก่อนทานอาหารมื้อแรกหลังหยุด Water Fasting จากนั้นเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้มปลา แกงจืด เกี๊ยวน้ำ เต้าหู้ทรงเครื่อง เป็นต้น เมื่อทานมื้อหลักเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ทานผักผลไม้เสริมด้วย แต่คำนึงเสมอว่ากระเพาะของเราไม่ได้ทำงานจริงจังมานาน อย่าทานมากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารย่อยยาก อาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ โดยปรับตัวแบบนี้ไปก่อน 2-3 วัน

6. เข้าสู่ระยะหลังการอดอาหารต่อเนื่อง

เมื่อร่างกายฟื้นฟูการทำงานขึ้นมาใหม่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ผ่าน Water Fasting คือผู้ที่จะต้องรักษาพฤติกรรมการทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพต่อไป เลือกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที ซึ่งวิธีเหล่านี้หลังทำ Water Fasting คือการคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ได้รับการฟื้นฟูตัวเองมาแล้ว หรือถือว่าเป็นการรักษาน้ำหนักสำหรับคนที่ตั้งใจลดหุ่น อย่างน้อยให้คิดว่าพยายามอดอาหารมาตั้งนานขนาดนั้น ก็ต้องดูแลหุ่นต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้สมกับความพยายามนั้นก็ยังดีนะ!

ทำ Water Fasting ไม่สำเร็จ เป็นเพราะอะไรกันนะ?


       จะเห็นได้ว่าการทำ Water Fasting ที่ถูกต้องนั้นมีขั้นตอนยิบย่อยและเงื่อนไขที่เคร่งครัดอย่างมาก ดังนั้น หลายคนจึงมักจะประสบปัญหาระหว่างการอดอาหารหรือทำ Water Fasting ไม่สำเร็จตามเป้าหมายสักที นั่นเป็นเพราะเราอาจจะทำ Water Fasting ไม่ถูกตามหลัก ดังนี้

  • เริ่มต้นโดยไม่มีการเตรียมตัวก่อน ทำให้มีปัญหาด้านร่างกายหรือล้มเลิกเร็ว
  • ตั้งเป้าหมายไม่ชัดเจนหรือเกินจริง เมื่อไม่ถึงเป้าหมายก็จะรู้สึกว่าล้มเหลว
  • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ กลายเป็นผลร้ายมากกว่า
  • ไม่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ใช้แรงมากเกินไป ไม่ผ่อนคลายความเครียด

       ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถทำ Water Fasting ได้สำเร็จ เพราะการเตรียมตัวที่ไม่ดีพอ เมื่อร่างกายไม่พร้อม สภาพแวดล้อมไม่พร้อม องค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ครบ ก็ไม่สามารถทำ Water Fasting ตามเป้าหมายให้ลุล่วงได้นั่นเอง

ความเสี่ยงของการลดน้ำหนักแบบ Water Fasting


       แม้การทำ Water Fasting จะสามารถลดน้ำหนักได้จริงและดีต่อสุขภาพในหลากหลายด้าน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและการทำตามขั้นตอนของ Water Fasting อย่างถูกต้อง

       ยกตัวอย่างงานวิจัยหนึ่งของโยชิโนริ โอสุมิ (Yoshinori Ohsumi) นักชีววิทยาสาขาเซลล์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี ค.ศ. 2016 ส่วนของงานวิจัยด้านกลไกการกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) ซึ่งได้อธิบายเอาไว้ว่า การอดอาหารที่มากเกินไปสามารถกระตุ้นการเติบโตของเนื้องอก และทำให้เกิดอาการดื้อยาต้านมะเร็งได้ ซึ่งการทำ Water Fasting ในระยะเวลาที่นานเกินไป อาจก่อให้เกิดกลไลการกินเซลล์ตัวเอง จึงอาจส่งผลดังกล่าวได้เช่นกัน

“Too much autophagy may have undesired effects, for example like cancer.
Autophagy can promote the growth of tumor cells and the resistance to anti-cancer drugs.”

– ข้อมูลจากงานประกาศรางวัลโนเบลปี ค.ศ. 2016 –

       ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ John S. Finnel และคณะ ได้ทำการค้นคว้าเรื่องอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำ Water Fasting ภายใต้การดูแลของแพทย์ พบว่าแม้จะทำ Water Fasting อย่างถูกต้องก็ตาม ร่างกายก็อาจเกิดการตอบสนองออกมาในรูปของผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังนี้

  • เหนื่อยล้า 48.2%
  • นอนไม่หลับ 33.5%
  • คลื่นไส้ 32.2%
  • ปวดหัว 30.1%
  • ความดันสูง 29.3%
  • วูบหรือเป็นลม 28.3%
  • อาหารไม่ย่อย 25.9%
  • ปวดหลัง 25.7%
  • ปวดแขนขา 16%
  • ปวดท้อง 15.1%
  • ท้องเสีย 14.2%
  • อาเจียน 12.5%
  • ปวดข้อ 12.1%
  • ใจสั่น 11.6%

      นอกจากนี้ การทำ Water Fasting เป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการขาดสารอาหาร อาการขาดน้ำ โซเดียมในเลือดต่ำ ความดันแปรปรวน สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติในการทานอาหาร และทำให้โรคประจำตัวต่าง ๆ ที่เป็นอยู่มีอาการร้ายแรงกว่าเดิมได้ ดังนั้น แพทย์หลายท่านจึงมักไม่แนะนำการทำ Water Fasting เท่าใดนัก แม้จะทำภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ตาม จึงเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเท่าใดนัก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Water Fasting ลดน้ำหนัก


       Water Fasting คือการลดน้ำหนักที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก หากเราเลือกกินน้ำลดน้ำหนักแบบไม่ถูกต้อง ทั้งยังมีรายละเอียดและขั้นตอนกระบวนการยิบย่อยมากมาย ทำให้เงื่อนไขในการทำ Water Fasting มักจะถูกตั้งคำถามมาตลอด หมอจึงขอรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Water Fasting มาให้ด้วยค่ะ

Water Fasting ทำได้บ่อยแค่ไหน?

       ปกติแล้วเราไม่ควรทำ Water Fasting บ่อยเกินไปค่ะ อย่างการทำ Water Fasting 3 วันก็แนะนำให้ทำอย่างมากไม่กี่ครั้งต่อปี หรือเดือนละครั้งก็มากเกินไปแล้วค่ะ หมอแนะนำให้เลือกการลดน้ำหนักแบบอื่นที่ไม่ใช่การอดอาหาร หากต้องการทำบ่อย ๆ เช่น การทำ IF, การทำ Circadian Fasting, การกินคีโต, การกินคลีน หรือการอดอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนดีกว่า

Water Fasting กินกาแฟได้ไหม?

       ในช่วงการทำ Fasting การดื่มกาแฟสามารถทำได้ แต่แนะนำให้เลือกดื่มเป็นการแฟดำหรืออเมริกาโน่ไม่เติมน้ำตาล หรือใครที่ไม่ได้ดื่มกาแฟก็อาจจะเปลี่ยนมาดื่มชาเขียวก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ เพราะช่วยในการขับถ่าย เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายที่อ่อนล้าในช่วงของการอดอาหาร และที่สำคัญคือมีแคลอรี่ต่ำ ไม่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

Water Fasting กินวิตามินได้ไหม?

       เราสามารถกินวิตามินช่วงที่ทำ Water Fasting ได้ค่ะ แต่จะต้องเป็นวิตามินที่ไม่ได้ให้พลังงาน ไม่มีน้ำตาลและแป้ง โดยจะต้องหลีกเลี่ยงวิตามินหรืออาหารเสริมจำพวกเยลลี่ เจลลี่แบบเคี้ยว หรืออาหารเสริมผงที่มีรสหวาน เพราะอาจจะมีน้ำตาลแฝง นอกจากนี้ ก็ไม่ควรกินวิตามินที่ละลายในไขมันด้วย เพราะช่วง Water Fasting จะไม่ได้รับอาหารที่เป็นไขมัน ต่อให้กินไปก็ถูกขับทิ้งอยู่ดี แนะนำให้กินวิตามินที่ละลายในน้ำหรือกินหลังจากผ่านช่วงอดอาหารไปก่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี

Water Fasting จะทำให้กล้ามเนื้อหายไหม?

       จริง ๆ แล้วหากอดอาหารเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่ได้ทำให้ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อเยอะขนาดนั้น และถึงแม้จะเสียไปเล็กน้อยก็จะกลับมาฟื้นฟูตัวเองหลังจากได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอค่ะ เพราะกล้ามเนื้อต้อง แต่การสูญเสียกล้ามเนื้อจนเป็นอันตรายมักจะเกิดจากการทำ Water Fasting นานเกินความจำเป็นจนเกิดภาวะทุพโภชนาการมากกว่า ซึ่ง ณ จุดนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก แพทย์ร้อยทั้งร้อยจึงไม่แนะนำให้ทำ Water Fasting นานหรือติดต่อกันบ่อยเกินไป

ต้องการปรึกษาแพทย์ฟรี!

SCan OR Code เพื่อแอดไลน์ หรือ

062 - 789 -1999

สาขา รัชโยธิน กด 1
สาขา ราชพฤกษ์ กด 2

บทความที่เกี่ยวข้อง

สุดยอดอาหารแคลน้อยครบ 3 มื้อ กินอะไรดีมาดูกัน!

อ่านเพิ่มเติม

คอมบูชา คือ ชาหมักที่ช่วยลดน้ำหนัก จริงไหม?

อ่านเพิ่มเติม

แชร์! วิธีกินกระเทียมสด ลดไขมัน กินให้ถูกวิธีช่วยได้จริง! พร้อมทริคลดหุ่นเร่งด่วน!

อ่านเพิ่มเติม

สรุป


       การทำ Water fasting คือการลดน้ำหนักแบบอดอาหารและดื่มแต่น้ำ ซึ่งช่วยให้น้ำหนักของเราลดเร็วจริง แต่หมอก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่าจำเป็นต้องทำด้วยร่างกายที่พร้อม และอยู่ในการควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการทำ Water Fasting นั้นค่อนข้างอันตรายและสร้างผลเสียในระยะยาว แนะนำให้พึงระลึกเสมอว่า ‘ลด’ ดีกว่า ‘งด’ นะคะ ร่างกายเรายังต้องการสารอาหารที่ครบถ้วน หากมีข้อสงสัยอื่น ๆ เพิ่มเติมหรืออยากมองหาวิธีลดหุ่นที่รวดเร็วแต่ปลอดภัย สามารถสอบถามเข้ามาได้ที่ช่องทางติดต่อด้านล่างเลยค่ะ

ปรึกษาแพทย์ ฟรี!

ลงทะเบียน คลิกที่นี่

สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย : https://lin.ee/801MUsB

ติดต่อเบอร์โทร : 

062-789-1999

⇒ สาขา รัชโยธิน กด 1
⇒ สาขา ราชพฤกษ์ กด 2

พญ.กรพร สถิตวิทยานันท์ (หมอมะปราง)

KOL Trainer แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน Water-jet

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี!


              บทความนี้ จัดทำขึ้นโดย Amara Clinic (เอมาร่า คลินิก) ขอสงวนสิทธิ์ในการห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ คัดลอก ทำซ้ำ หรือเผยแพร่บทความนี้ในนามอื่น (ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, ข้อมูลทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเจอจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย