อ้วนแล้วปวดเข่า เสี่ยงข้อเข่าเสื่อม ไม่แก่แต่อ้วนก็เป็นได้!

ปวดหัวเข่า

จากประสบการณ์ตรงของหมอ ที่ได้เจอคนไข้ซึ่งมาปรึกษาเรื่องน้ำหนักและสัดส่วนที่ Amara Clinic คนไข้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มักจะเจอกับปัญหาสุขภาพมากมาย หนึ่งในนั้นคือ อาการปวดหัวเข่า หรือคนอ้วนปวดเข่า ที่เกิดจากข้อเข่าต้องรองรับน้ำหนักตัวที่มาก คนไข้อาจรู้สึกปวดเข่าเวลายืน นั่ง หรือเดินนาน ๆ หรือบางครั้งอาจรู้สึกปวดเข่าด้านใน หัวเข่าติด ซึ่งอาการปวดหัวเข่าถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จนทำให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้ครับ วันนี้ใครที่กำลังเจอปัญหาอ้วนแล้วปวดเข่านี้อยู่ หมอไอซ์ (KOL Trainer แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน) มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ความอ้วนกับอาการปวดหัวเข่า เกิดจากอะไร และเทคนิคลดน้ำหนักและสัดส่วนอย่างตรงจุดมาฝากกัน ห้ามพลาดครับ!

หัวเข่าหรือข้อเข่า เป็นข้อต่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายเรา ประกอบไปด้วยกระดูกช่วงต้นขา, กระดูกบริเวณหน้าแข้ง และลูกสะบ้า (กระดูกขนาดเล็กที่อยู่ด้านหน้าของหัวเข่า) โดยในนั้นจะมีกระดูกอ่อน, น้ำหล่อเลี้ยง และเส้นเอ็น ซึ่งทำหน้าที่รองรับการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ช่วยดูดซับและกระจายแรงที่เกิดจากน้ำหนักตัวครับ

ปวดหัวเข่า

ขอบคุณภาพจาก : mindful.sodexo

ซึ่งหัวเข่าถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญที่เปรียบเสมือนประตูบานพับ ทำให้เราเคลื่อนไหวในอิริยาบทต่าง ๆ จากลำตัวส่วนล่างได้เป็นปกติ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน วิ่ง การทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือการเล่นกีฬา ซึ่งหัวเข่าหรือข้อเข่าจะทำหน้าที่ยืด-งอ-เหยียด แม้ในขณะที่เรายืนเฉย ๆ หัวเข่าจะแบกรับน้ำหนักร่างกายเราถึง 80% และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเราเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ในคนที่มีน้ำหนักตัว 73 กิโลกรัม เดินข้ามจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง หัวเข่าจะต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 150% หรือมากกว่านั้น หรือเท่ากับ 108 กิโลกรัมเลยครับ 

จะเห็นได้ว่า หัวเข่าเป็นส่วนที่ต้องขยับอยู่แทบจะตลอดเวลา รวมถึงทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักตัวของเรา ส่งผลให้บริเวณข้อเข่าเกิดปัญหาสุขภาพได้เป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ รวมไปถึงปัญหาคนอ้วนปวดเข่าครับ

น้ำหนักเยอะ / อ้วนปวดหัวเข่า เกิดจากอะไร

ภาวะโรคอ้วนปวดหัวเข่า เกิดจากการที่หัวเข่าหรือข้อเข่าต้องแบกรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยน้ำหนักตัวที่มากขึ้น จะทำให้ข้อต่อและกระดูกอ่อนเกิดความตึง ผิวที่ข้อกระดูกสึกหรอ สึกกร่อน อีกทั้งไขมันส่วนเกินในร่างกายเราจะไปเพิ่มสารเคมีในเลือด ซึ่งส่งผลให้ข้อต่อเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดอาการปวดหัวเข่า รู้สึกปวดเข่าด้านใน และเมื่อเกิดปัญหานานวันเข้าก็อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อมได้อีกด้วย

ปวดหัวเข่า

ในรายที่มีภาวะโรคอ้วนปวดเข่า จะมีอาการปวดหัวเข่า เช่น ปวด บวม ตึง หรือบางรายอาจรู้สึกว่าปวดเข่าด้านใน ต่ำมาจากข้อเข่าประมาณ 2 นิ้ว มีลักษณะปวดที่ข้อโดยตรง จนทำให้การเคลื่อนไหวแย่ลง โดยในบางรายที่มีภาวะโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อาจต้องเผชิญกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น คนที่ทำอาชีพที่ต้องเดินหรือยืนนาน ๆ หรือต้องย่อเข่ายกของหนัก ๆ บ่อย ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการปวดหัวเข่า หรืออาจทำให้อาการปวดหัวเข่าที่มีอยู่แย่ลงได้ครับ 

นอกจากเรื่องของภาวะโรคอ้วนจนทำให้ปวดหัวเข่าแล้ว ภาวะน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานและมีไขมันส่วนเกินในร่างกาย ก็อาจนำไปสู่โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันพอกตับ จากไขมันในช่องท้อง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือแม้กระทั่งภาวะหยุดหายใจในขณะหลับ เป็นต้น

อ้วนแค่ไหนถึงเสี่ยงปวดหัวเข่า ข้อเข่าเสื่อม

จากการศึกษาชิ้นหนึ่งในต่างประเทศพบว่า 3.7 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI 18.5–25 มีภาวะการเกิดข้อเข่าเสื่อม และอีก 19.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนระดับ 2 หรือมีค่าดัชนีมวลกาย 35–39.9 โดยจะเห็นได้ว่า การมีน้ำหนักตัวหรือค่าดัชนีมวลกายเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จะทำให้หัวเข่ามีแรงกดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวเข่าเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ครับ

ปวดหัวเข่า
ปวดหัวเข่า

หลายคนถามว่า อ้วนแค่ไหนถึงเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อม มีภาวะปวดหัวเข่า โดยการวัดว่าเราอยู่ในเกณฑ์ที่อ้วนหรือยัง เราสามารถดูได้จากค่า BMI หรือค่าดัชนีมวลกายได้ครับ ซึ่งค่า BMI คือ ค่าจากการคำนวณ โดยใช้สูตร >> น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง และเมื่อได้ค่า BMI ออกมาแล้ว จะต้องมาดูว่าตัวเลขที่ได้นั้นอยู่ในช่วงใด ซึ่งจะบอกได้ว่าตอนนี้ผอมเกินไป, น้ำหนักปกติ, น้ำหนักเกิน หรืออยู่ในภาวะโรคอ้วนครับ

สำหรับใครที่อยากรู้ค่า BMI ของตัวเอง แบบไม่ต้องคำนวณเอง สามารถเข้าไปกรอกน้ำหนักและส่วนสูงในโปรแกรมคำนวณอัตโนมัติได้ที่ >> BMI คือ

ลดน้ำหนัก ลดเสี่ยงข้อเข่าเสื่อม

ปวดหัวเข่าที่เกิดจากน้ำหนักตัวมาก แน่นอนครับว่า การจะรักษาภาวะคนอ้วนปวดเข่า และลดโอกาสที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมอย่างตรงจุด เราก็ต้องโฟกัสไปที่การลดน้ำหนัก โดยการศึกษาจากต่างประเทศพบว่า คนที่น้ำหนักลดลง 0.45 กิโลกรัม จะสามารถลดแรงกดที่ข้อเข่าได้ 1.8 กิโลกรัม ซึ่งแรงกดที่ลดลงนี้เอง จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมครับ

โดยการลดน้ำหนักที่เหมาะสม จะต้องเริ่มจากการควบคุมอาหาร ไม่อดอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เน้นทานโปรตีน และรับประทานอาหารให้ได้ปริมาณแคลอรี่ที่พอดีต่อวัน รวมถึงเลือกออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทกในช่วงแรก หากน้ำหนักเริ่มลดลงบ้างแล้ว ก็สามารถพัฒนาการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือ Weight Training ได้ครับ

ควบคุมอาหาร

การควบคุมอาหารโดยการนับแคลอรี่เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลครับ ซึ่งในแต่ละวัน ร่างกายเราต้องการพลังงานในปริมาณที่พอเหมาะ สำหรับผู้หญิงควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่ประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี่/วัน และในผู้ชายต้องการ 2,500 กิโลแคลอรี่/วัน

ปวดหัวเข่า

แต่สำหรับใครที่ต้องการลดน้ำหนักจริงจัง อาจต้องคำนวณค่าปริมาณแคลอรี่แบบเฉพาะบุคคล โดยการคำนวณจากอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน (BMR) และค่าพลังงานที่ใช้ทำกิจกรรมในแต่ละวัน (TDEE) (สามารถเข้าไปดูสูตรการคำนวณหาแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน ได้ที่ >> นับแคลอรี่) นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เลือกทานอาหารคลีน (อ่านต่อ : อาหารคลีนคือ) เพื่อการลดน้ำหนักที่เห็นผลครับ

ออกกำลังกาย

อย่างที่หมอได้เกริ่นไว้นะครับว่า ในช่วงแรกของการลดน้ำหนักในผู้ที่มีปัญหาปวดหัวเข่า หรืออาการปวดเข่าด้านใน ควรเน้นไปที่การออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน หรือหากเลือกออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว แนะนำให้เป็นพื้นเรียบ ไม่แข็ง หากเป็นพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่ม

ปวดหัวเข่า

ขอบคุณภาพจาก : livestrong.com

โดยหลังจากออกกำลังกายจนน้ำหนักลดลงมาบ้าง และร่างกายเริ่มมีความทนทานมากขึ้น เราสามารถเลือกออกกำลังกายประเภท Weight Training โดยเน้นที่กล้ามเนื้อข้อเข่า เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ทำให้ข้อเข่ารองรับน้ำหนักตัวได้อย่างปกติ รวมถึงการออกกำลังกายแบบ Weight Training กับสัดส่วนอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะมีผลให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้ดีครับ

เทคโนโลยี Build กล้ามเนื้อ + เผาผลาญไขมัน

TESLA Former เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยแรงพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Functional Magnetic Stimulation (FMS) ชนิดที่มีการกระตุ้นแบบเฉพาะเจาะจง กระตุ้นให้กล้ามเนื้อให้เกิดการหดเกร็งและคลายตัวเป็นจังหวะแบบอัตโนมัติ ครอบคลุมทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ รวมไปถึงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle) เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่และแข็งแรง โดยเป็นหลักการเดียวกันกับการออกกำลังกายแบบ Weight Training

สำหรับการทำ TESLA Former ใน 1 ครั้ง เป็นเวลา 30 นาที จะเทียบเท่ากับการออกกำลังกายด้วยท่าซิทอัพ (Sit Up) กระชับหน้าท้อง หรือ ท่าสควอท (Squat) กระชับบั้นท้าย ถึง 50,000 ครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่และแข็งแรงขึ้น ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี เพียงแค่นอนทำชิล ๆ ไม่ใช่การผ่าตัด ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> TESLA Former)

ปวดหัวเข่า
คอร์สเจ้าสาว

ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์ผู้ชำนาญการโดยเฉพา

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่หมอพูดถึงคือ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้การลดน้ำหนัก ลดสัดส่วน ไม่ประสบผลสำเร็จ และให้เรานึกไว้เสมอครับว่า ยิ่งร่างกายได้ขยับ ก็เท่ากับการเผาผลาญพลังงาน เช่น การเดินขึ้น-ลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์, ทำงานบ้านเอง, ใช้การเดินหรือปั่นจักรยานไปทำงาน (ในระยะทางที่ไม่ไกลมาก) หรือการเดินเล่นหลังมื้ออาหาร เป็นต้น

ลดน้ำหนัก ลดสัดส่วนเองไม่ลง ทำยังไงดี

หลายคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวและสัดส่วนที่เปลี่ยนไป ซึ่งใช้ทั้งวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ยังไม่ค่อยเห็นผล อาจด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น อายุที่เยอะขึ้น ส่งผลให้ระบบเผาผลาญพัง ไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกออกกำลังกาย หรือไม่มีวินัยมากพอ หมอก็มีตัวช่วยดี ๆ ในการลดน้ำหนักและลดสัดส่วน ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์ผู้ชำนาญการโดยเฉพาะครับ

โปรแกรมลดน้ำหนักด้วย Amara Pen

Amara Pen เป็นการใช้ตัวยา GLP-1 Analogue ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารปล่อยความอิ่ม GLP-1 ธรรมชาติในร่างกาย เข้าไปสั่งการ “ศูนย์หิว-ศูนย์อิ่ม” ในสมอง เพื่อให้เรามีความอิ่มที่ยาวนานขึ้น รู้สึกหิวในระหว่างวันน้อยลง ส่งผลให้ลดการทานจุกจิกระหว่างมื้อ เนื่องจาก GLP-1 Analogue จะอยู่ได้นานกว่าสารธรรมชาติ

ปวดหัวเข่า
ปวดหัวเข่า

เมื่อตัวยาเข้าไปทำให้เรารู้สึกอยากอาหารลดลง ส่งผลให้ทานอาหารได้น้อยลง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารค่อย ๆ เล็กลงตามไปด้วย จึงเป็นการปรับพฤติกรรมการทานอาหารไปในตัวครับ โดยการใช้โปรแกรมลดน้ำหนัก Amara Pen มีความปลอดภัย ผ่านการรับรองจากอย.ไทย, เกาหลีใต้ และอเมริกา และอยู่ภายใต้การดูแลปรับตัวยาให้เหมาะสม รวมถึงมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี

ดูดไขมันลดสัดส่วน ด้วยเทคนิคเฉพาะตัว

นอกจากโปรแกรมลดน้ำหนัก Amara Pen แล้ว ใครที่อยากลดสัดส่วน กำจัดไขมันส่วนเกินที่ทำให้รูปร่างดูใหญ่ ใส่เสื้อผ้าไม่มั่นใจ หมอแนะนำเป็นการดูดไขมันปรับรูปร่างให้ดูสมส่วน ซึ่งการดูดไขมันเหมาะกับคนที่ต้องการจะกำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้สัดส่วนบริเวณนั้น ๆ เล็กลง ปรับไซซ์ให้ลดลงครับ

ลดขาเบียด 1 อาทิตย์

เทคนิค Real Arms ปรับแขนเล็ก

ปวดหัวเข่า

เทคนิค Sexy Line HiDef 4D ปั้นร่อง 11

ปวดหัวเข่า

เทคนิค S Curve ปั้นเอวเอส

ปวดหัวเข่า

เทคนิค Real Legs เหลาขาตะเกียบ

ปวดหัวเข่า

ที่ Amara Clinic เรามีเทคนิคดูดไขมันเฉพาะตัว เรียกได้ว่าเป็น Signature ที่เปรียบเสมือนงานศิลปะที่ให้ดูสวยโดดเด่น และมีชิ้นเดียวในโลกครับ อาทิ เทคนิคดูดไขมันเหลาต้นแขน Real Arms ไล่ระดับความเรียวอย่างลงตัวตั้งแต่หัวไหล่ลงมา, เทคนิคดูดไขมันเอวเอส S Curve ปรับเอวคอดสมส่วน ให้มีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่ใจต้องการ, ดูดไขมัน Sexy Line ปั้นร่อง 11 เทคนิค Sexy Line HiDef 4D เน้นไลน์กล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นธรรมชาติ เหมือนคนที่ออกกำลังกายมานานเป็นปี และดูดไขมันขาตะเกียบ Real Legs ลีนไขมันต้นขา ให้รอบวงขาเล็กลง ไล่ระดับเรียวสวยไปถึงหัวเข่า เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังมีเครื่องดูดไขมันและกระชับผิวหนังครบทุกชนิด ไว้รองรับทุกปัญหาและตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนไข้ ซึ่งทุกเครื่องล้วนเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง ได้มาตรฐานระดับสากล โดยทีมแพทย์ทุกท่านสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับคนไข้แต่ละเคส เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยเป๊ะครับ

โปรแกรมลดน้ำหนัก ≠ การดูดไขมัน

การใช้โปรแกรมลดน้ำหนัก Amara Pen เป็นการมุ่งเน้นปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก (เน้นลดน้ำหนัก + สุขภาพ) แต่การดูดไขมันเป็นการกำจัดไขมันส่วนเกิน มีจุดประสงค์เพื่อการปรับรูปร่างให้ดูดีและสมส่วนยิ่งขึ้น (เน้นลดสัดส่วน + ความสวยงาม) ซึ่งทั้ง 2 การรักษาต่างก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน 

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> ปากกาลดน้ำหนัก กับ ดูดไขมัน ต่างกันอย่างไร

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีลดน่องขาเวิร์คที่สุด น่องขาใหญ่ กล้ามเนื้อหรือไขมัน ก็เอาอยู่!

อ่านเพิ่มเติม

ลดพุง ลดไขมัน! ช่วยแก้นอนกรนได้จริงไหม?

อ่านเพิ่มเติม

ผลไม้ลดความอ้วนได้จริง แถมดีต่อสุขภาพ!

อ่านเพิ่มเติม

สรุป

         การเกิดภาวะปวดหัวเข่า ปวดเข่าด้านใน ที่เกิดจากน้ำหนักตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาดเลยครับ เพราะการเกิดโรคอ้วน นอกจากจะเสี่ยงต่อการที่ข้อเข่ารับน้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้แล้ว ยังเป็นที่มาของโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย ดังนั้น ใครที่กำลังเผชิญกับโรคอ้วนและอาการปวดหัวเข่า (อ้วนปวดเข่า) ควรใส่ใจดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยการลดน้ำหนักและสัดส่วนอย่างถูกวิธี ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดูดีสมวัยครับ

ปรึกษาแพทย์ ฟรี!

ลงทะเบียน คลิกที่นี่
สาขารัชโยธิน 062-946-2397
สาขาราชพฤกษ์ 062-556-6623
สอบถามโปรโมชั่น LINE: @amaraclinic
หรือคลิกลิงค์นี้ได้เลย https://line.me/R/ti/p/@amaraclinic

KOL Trainer
แพทย์ผู้สอนดูดไขมัน Water-jet

นพ. วิษณุ เฮ้งสวัสดิ์ (หมอไอซ์)

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี!


              บทความนี้ จัดทำขึ้นโดย Amara Clinic (เอมาร่า คลินิก) ขอสงวนสิทธิ์ในการห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ คัดลอก ทำซ้ำ หรือเผยแพร่บทความนี้ในนามอื่น (ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา, ข้อมูลทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเจอจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย